ตรวจแนวรบเมียนมา มังกรสยายปีก..จีนเทายังเบ่งบาน?

ที่เมียนมา ทุนจีนสีเทา ก็ผลิดอกออกผล โดยลงมาที่รัฐฉานใต้ และไปโผล่ที่ชายแดนตะวันตกของประเทศไทย บริเวณลุ่มแม่น้ำเมย ที่กินพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดตาก และฝั่งตรงข้ามจะเป็นเมืองเมียวดีของเมียนมา และเมืองใหม่ ชเวโก๊กโก่-เคเค พาร์ค… จีนเทาต้องการคนที่จะคุ้มครองความปลอดภัยของกลุ่มจีนเทา  ให้พื้นที่ให้เขาซ่องสุมหลบซ่อนได้ กลุ่ม BGF ของหม่อง ชิตตู่ มีหน้าที่ในการคุ้มกันความปลอดภัยให้จีนเทา แล้วจีนเทาก็มีรายได้ส่วนหนึ่งให้กับกลุ่มหม่อง ชิตตู่

หลังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ทำการตัดการจ่ายไฟไปที่เมียนมา เมื่อวันพุธที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามมติสภาความมั่นคงชาติ(สมช.) เพื่อสกัดการดำเนินธุรกิจของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะเห็นว่า การขายไฟดังกล่าว สุดท้ายแล้วไฟที่ขายไป กลุ่มธุรกิจสีเทาบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา นำไปใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจสีเทา ที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเสียหายจำนวนมาก อันเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชน และทั่วโลก จึงมีมติให้ตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต ตัดน้ำมัน

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการตอกย้ำว่า บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา มีการทำธุรกิจสีเทา โดยเฉพาะเครือข่ายขบวนการคอลเซ็นเตอร์ -พนันออนไลน์ โดยมี”กลุ่มทุนจีนสีเทา“อยู่ในเครือข่ายธุรกิจสีเทาดังกล่าวตามที่มีข่าวออกมาก่อนหน้านี้ตลอด     

ก่อนหน้าจะมีการตัดไฟดังกล่าว รายการ “ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด” สัมภาษณ์“รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์จากโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา (Southeast Asian Studies) คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ที่ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่า เป็นนักวิชาการที่มีความรู้-เชี่ยวชาญเรื่อง”การเมือง-การปกครอง-การทหาร-ความมั่นคงเกี่ยวกับประเทศเมียนมา”อย่างมาก และยังมีตำแหน่งอื่นๆ เช่น  ที่ปรึกษากองทัพบกด้านกิจการเมียนมา-ที่ปรึกษาคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองเอเชียด้านกิจการเมียนมา-นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา เป็นต้น โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจ ที่ทำให้เห็นที่มาที่ไปของ“กลุ่มทุนจีนสีเทา-ธุรกิจสีเทา”บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา รวมถึงอีกบางประเทศในอาเซียน ตลอดจนการให้ทัศนะความคิดเห็นต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมาที่น่าสนใจ

การมีอยู่ของจีนเทา เคยกล่าววิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะชักพาให้จีน เข้าไปชี้นำหรือมีอำนาจในรัฐบาลท้องถิ่นในกลุ่มประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น มาวันนี้ ผลิดอกออกผลชัดเจน อย่างที่ปรากฏข่าวก่อนหน้านี้ที่มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลจีน ไปที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา เมื่อ 29 มกราคม ที่ผ่านมา (นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน)”แค่เริ่มต้นการสัมภาษณ์ ก็น่าสนใจแล้ว แต่ลำดับแรก มีการคุยกันเรื่อง สถานการณ์โดยรวมบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา กันก่อน

โดย รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า พื้นที่พรหมแดนไทย-เมียนมา ที่มีความยาวโดยประมาณคือ 2401 กิโลเมตร พรหมแดนทางบก พบว่าถึงตอนนี้มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่นมีการค้นพบเรื่องการตั้งฐานทหารว้าแดงที่ล้ำอธิปไตยประเทศไทย ส่วนเรื่องสแกมเมอร์ -คอลเซ็นเตอร์ ก็มีมานานแล้วแต่ช่วงปีนี้ มันผลิดอกออกผลกลายเป็นปัญหาชัดเจน มีการเบ่งบานขยายกำลัง และมาเกี่ยวพันกับหน่วยงานที่รับผิดชอบการแก้ปัญหาในประเทศไทยด้วยและเคสของลูกเรือไทยที่ถูกทางการเมียนมาจับกุม และมีการบังคับใช้กฎหมายอาญาของเมียนมาดำเนินคดีกับลูกเรือไทยทันที ทั้งที่ยังพิสูจน์ไม่ชัดว่าพื้นที่ทะเลที่เกิดเหตุดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ของไทยหรือเมียนมา เป็นพื้นที่ทับซ้อนหรือไม่

“มันทำให้ความสัมพันธ์ไทยกับเมียนมาช่วงที่ผ่านมา ก็มองว่าพอใช้ได้แต่มีกะพร่องกะแพร่งบ้างแต่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ไทย-เมียนมาถึงกับตึงเครียด แต่ทำให้อิทธิพลหรือการชี้นำของประเทศไทยเราต่อเมียนมา ดูไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่ แลดูอ่อนลงไป”

…คิดว่ามันเกิดจากปัจจัยที่เป็นตะกอนสะสมจากการที่ ประเทศไทยไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุก เราตั้งรับอยู่ในแผนที่ขวานทองอย่างเดียว แต่เราไม่รุกออกไปสกัดกั้นปัญหา มาวันนี้ปัญหาต่างๆ มันส่งออกมาที่บ้านเราเยอะมากจนเกินไป เราก็ตั้งรับอยู่แต่ในพื้นที่ของเรา และเราดันตั้งรับไม่ประณีตด้วย มีรอยโหว่เยอะ ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาทหารว้ารุกล้ำเข้ามาหลายจุดได้อย่างไร เกิดปัญหาลักลอบเข้าเมือง ปัญหาการค้ายาเสพติด ปัญหาการทำผิดกฎหมายมากมายได้อย่างไร?

 แสดงว่าที่ผ่านมาเราเน้นตั้งรับ แต่เราตั้งรับไม่ประณีต และเราไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อไปสกัดปัญหานอกเขตแดนของเรา กลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ตัวแสดงสำคัญก็คือกลุ่มว้าแดง กับกลุ่มมูเซอ ซึ่งกลุ่มว้าแดง ก็มีกระบวนการพัฒนาในพื้นที่ของตัวเองโดยแหล่งรายได้หลักของกลุ่มว้าก็คือฝิ่น เฮโรอีน ยาเสพติด ทำให้เมื่อเขาต้องการพัฒนารัฐหรือพื้นที่ของตัวเองมาก ๆ ก็ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิตและส่งออกยาเสพติด

ก่อนหน้านี้ผมได้เคยลงพื้นที่ เพื่อไปสืบเสาะข้อมูลว่า กลุ่มว้าแดงล้ำแดนไทยจริงหรือไม่ โดยเดินทางไปกับคณะที่มาจากหลายหน่วยงาน โดยมีชาวบ้านในพื้นที่ติดต่อมาหาผม บอกว่า ขอให้ช่วยเข้ามาดูพื้นที่ด้วย เผื่อจะได้สะท้อนออกไปสู่สังคม เมื่อไปลงพื้นที่ ก็ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐในระดับท้องถิ่น ไปเจอทั้งทหาร -กองอาสารักษาดินแดน -ตำรวจ ไปที่ปางมะผ้า แม่ฮ่องสอน  ก็ได้ข้อมูลสอดคล้องตรงกัน และได้นำหลักฐานที่เป็นแผนที่่ทางประวัติศาสตร์ที่ไทยใช้ในการปักปันเขตแดนกับประเทศพม่า ตั้งแต่อดีตมาเทียบเคียงกับภูมิประเทศจริง

“ได้ข้อสรุปว่า บางพื้นที่ว้าแดงล้ำแดนเข้ามาจริงๆ โดยล้ำในที่นี้ไม่ได้หมายถึงล้ำแบบตั้งเหลื่อมในเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ แบบนี้มีอยู่บางจุด แต่ว่าบางจุด มันเป็นดินแดนประเทศไทยชัดเจนเลย ล้ำเข้ามาประมาณ 1-2 กิโลเมตรโดยประมาณ กองกำลังที่ล้ำเข้ามา มีประมาณสักสิบนาย หรือมากกว่านั้นเล็กน้อย แต่ว่าข้อน่าสนใจก็คือในพื้นที่ซึ่งเป็นอธิปไตยของเรา แต่ว่าเรากลับไม่ได้สำแดงกำลังอย่างชัดเจนเท่าใด เพราะพื้นที่ซึ่งกลุ่มว้าลงมาลาดตะเวน มันอยู่ในพื้นที่อธิปไตยของเรา”

..จนชาวบ้านเริ่มหาของป่าไม่ได้แล้วเพราะว่า ว้าลงมากันพื้นที่ไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปหาของป่าลึกมากขึ้น ซึ่งหากปล่อยไป ว้าเขาก็บรรจุกำลังพลเพิ่มขึ้นในพื้นที่ได้ในอนาคต จุดที่ไปเมื่อธันวาคม ปีที่แล้ว ที่อำเภอปาย คือ หนองหลวง กับตอยหัวม้า ก็พบทหารของว้า ตั้งล้ำมาในดินแดนไทย 2-3 จุด  และเมื่อเร็วๆนี้ ก็ไปกับคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎรไปดูพื้นที่ ตรงเวียงแหง ทหารในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 3 และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็พาไปดูจุดเกิดเหตุบางจุด ที่เขาก็ระบุชัดเจนว่า เป็นฐานทหารว้า  และอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย โดยเจ้าหน้าที่มีการทำหนังสือประท้วงไปแล้ว เขาบอกว่ารอทางรัฐบาล จะตัดสินใจอย่างไร

-หากไม่มีการดำเนินการใดๆกับกลุ่มว้าดังกล่าว ปล่อยไว้แบบนี้เรื่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้น?

ก็คิดว่าจะเกิดการขยาย ของปริมาณกองทัพและปริมาณประชากรของว้า จะทำให้ภูมิทัศน์รัฐฉานภาคใต้ที่ติดกับไทยมันเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นพื้นที่ว้าใต้ พลังของกลุ่มว้าจะเข้มข้นขึ้น

สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในเรื่องนี้นั้น พบว่าตอนนี้รัฐบาลถือธงในการเจรจา เราต้องดูว่ากรอบการเจรจาจะไปสุดที่ตรงไหน เช่นก่อนเดือนเมษายนนี้ จะมีอะไรคืบหน้าหรือไม่ เช่นก่อนเมษายน ว้าตัดสินใจถอนฐานทหารบางจุดออกจากพื้นที่ เช่นจุดที่ผมไปดูมา แถวหนองหลวง-ตอยหัวม้า ถ้าหากออกมาแบบนี้ รัฐบาลจะมีแรงกดดันจากประชาชนที่เบาลง เพราะว่าว้าถอนกำลังออกไปแล้ว แต่ต้องสืบสาวราวเรื่องพอสมควร เพราะผมคิดว่า ว้าคงไม่ถอนทหารออกไปฟรี ๆ ผมคิดว่าจะต้องมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน และเราได้ให้อะไร ว้าถึงถอนทหารออกไป ตรงนี้้ยังเป็นปริศนาอยู่ ยังตอบไม่ได้

 และถึงแม้ว่า scenarioแรก หากกลุ่มว้าถอนไป กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยงานความมั่นคงของไทยจะต้อง บรรจุกำลังพลเข้าไปในพื้นที่มากขึ้น เพราะว่าในอดีตเคยเกิดกรณีแบบนี้ คือ เราสามารถขับไล่ฐานทหารต่างชาติได้ แต่เราไม่ได้ตั้งฐานทหารลงไปแทนในจุดดังกล่าว วันเวลาผ่านไป วันดีคืนดี ทหารต่างชาติ ก็หวน กลับมาด้วยกำลังพลที่เพิ่มขึ้น มีระบบป้อมปราการที่แข็งแรงขึ้น

ส่วนscenarioที่สอง  คือหากว้าไม่ถอนกำลังทหาร ก็จะออกได้สองมุม คือหนึ่ง หากภาคประชาสังคม สื่อมวลชน ไม่ได้ประโคมข่าวเรื่องนี้ ก็จะทำให้เรื่องนี้หายไปกับสายลม แล้วกลุ่มว้า ก็จะตั้งอยู่ในที่เดิมต่อไปอีกนานเท่านาน แล้วประเทศไทย ก็จะสูญเสียอธิปไตยในจุดนั้น สอง หากไม่ถอน ก็คือก็ใช้การเจรจาผสมกับการแสดงแสนยานุภาพทางทหาร กองทัพ ก็มีการเข้าไปในพื้นที่ ปิดช่องทางเข้า-ออก ให้หนักขึ้น ก็มีมาตราการแบบนี้ด้วยไล่จากเบาไปหาหนัก กดดันไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ปิดช่องทางในการเจรจา แต่ไม่ควรปิดช่องในการแสดงแสนยาสุภาพทางการทหารเพราะผมว่ามันเป็นจำเป็นอยู่ บางทีต้องมีบ้าง

เอ็กซ์เรย์กลุ่มจีนเทา รอบประเทศเพื่อนบ้าน ลาว-กัมพูชา-เมียนมา

-ปัญหาจีนเทาบริเวณรอบประเทศเพื่อนบ้านไทย ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร  ?

เราต้องพูดถึงการปลดปล่อยอำนาจของจีนลงใต้ ที่ก็จะมีทั้งจีนขาวและจีนเทา การเลาะเลื้อยของมังกรจีนก็จะเข้ามาที่สูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในภาคเหนือของสปป.ลาว และก็ในเขาสูงตามแนวตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา เช่น ชเวก๊กโก- เคเคพาร์ก ในระบบเศรษฐกิจในลุ่มแม่น้ำเมย ก็เป็นเคสหนึ่งว่า ภูมิประเทศที่ลับลวงพรางสูงชันแต่พลังทุนนิยมแบบจีนสามารถเข้าไปถึงได้ มังกรก็เลื้อยเข้ามากดชายแดนภาคเหนือของเราในพื้นที่สามจังหวัดภาคเหนือ ผ่านอิทธิพลของว้าแดงด้วยเพราะว้าแดงมีความสัมพันธ์กับจีน แล้วก็เข้าไปที่แหล่งกาสิโน แหล่งทุนนิยมทั้งแบบถูกกฎหมาย-ผิดกฎหมายในลุ่มแม่น้ำเมย ตรงจังหวัดตาก มีการเข้ามาในลักษณะการทำโครงการพัฒนารถไฟลาว-จีน จากยูนานของจีน ทะลุลาวภาคเหนือเข้ามาที่เวียงจันทร์ ถ้าแซวแบบเปรียบเทียบแบบอบอุ่นก็คือ พญานาคที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศลาว ก็มีกลิ่นไอของพญามังกรเข้าไปผสม แล้วพญามังกร ก็ลงเข้าไปอีกที่ประเทศกัมพูชา

เพราะยุทธศาสตร์การพัฒนาของรัฐบาลพนมเปญยังต้องพึ่งเงินทุนมหาศาลจากจีนอยู่ จีนก็เข้าไปพัฒนาท่าเรือในสีหนุวิลล์ พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงการขุดคลองยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจคือคลองฟูนันเตโช

แต่ก็มีข่าวทุนจีนน่าจะสะดุดหรือไม่ซับพอร์ตโครงการนี้แล้ว เพราะขุดไปแล้วบางส่วนแต่เริ่มจะชะงัก แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า พลังของจีนก็เข้าไปที่กัมพูชาพอสมควร ที่สีหนุวิลล์ จีนก็ลงทุนเยอะ มีกาสิโน -เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ รวมถึงสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่น่าจะมีประโยชน์ต่อจีนในทางยุทธศาสตร์ เช่นฐานทัพอากาศ ฐานทัพเรือ ทำให้มีนักวิเคราะห์เกรงกันว่า จีนจะเข้าไปควบคุมกัมพูชา ในยามปกติและยามฉุกเฉิน สามารถเติมกำลังทางทหารได้

 แต่มันมีจุดเลี้ยวหักศอกเมื่อปลายปีที่แล้ว คือพอมีข่าวว่าคลองฟูนันเตโช ที่นายทุนจีนเข้าไปลงทุนมันสะดุดมันล่าช้า รัฐบาลพนมเปญซึ่งที่ผ่านมา ก็พึ่งอำนาจจีน ตัดสินใจกวักมือเรียกเรือรบสหรัฐ ให้เข้ามาเทียบท่าเลยที่อ่าวไทยและสีหนุวิลล์ ซึ่งมันมีโครงสร้างพื้นฐานที่จีนลงทุนอยู่ แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลพนมเปญพลิ้วมากเลย

สำหรับที่เมียนมา ทุนจีนสีเทา ก็ผลิดอกออกผล โดยลงมาที่รัฐฉานใต้ และว้าใต้ส่วนหนึ่ง และไปโผล่ที่ชายแดนตะวันตกของประเทศไทย บริเวณลุ่มแม่น้ำเมย ที่กินพื้นที่หลายอำเภอของจังหวัดตาก และฝั่งตรงข้าม ก็จะเป็นเมืองเมียวดีของเมียนมา และเมืองใหม่ ชเวโก๊กโก่ และ เมืองเคเค พาร์คและกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ กลุ่มกระเหรี่ยง ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพพม่าเรียกว่า Border Guard Force (BGF) กองกำลังป้องกันชายแดน นำโดย หม่องชิดตู  ที่เป็นสไตล์ขุนศึกชายแดน เขาก็ต้องหารายได้มาเลี้ยงลูกน้อง จึงต้องไปสร้างพันธมิตรกับกลุ่มทุนยาไท่ แล้วกลุ่มนี้เข้าไปสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ของชเวโก๊กโก่ และเคเค พาร์ค ทำให้เราจะเห็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพิงพึ่งพาอย่างซับซ้อนระหว่าง จีนขาว จีนเทา และกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์

การแก้ปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์อะไรต่างๆ ผมคิดว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการชายแดนขึ้นมา โดยให้มีกรรมการจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กองทัพบก กองทัพภาคที่ 3  กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย มานั่งร่วมกันแล้วให้นายกฯหรือรองนายกฯมาเป็นหัวเป็นประธานคณะกรรมการ โดยกระบวนการตัดสินใจก็ใช้เสียงข้างมาก โดยให้มีการคลอดชุดนโยบายออกมาที่สามารถทำตามได้เลย แล้วบูรณาการการทำงานร่วมกัน ส่วนการตัดไฟของกฟภ.ก็คงส่งผลกระทบประมาณหนึ่งแต่คงไม่ได้ทำให้จีนเทาสลายตัวไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาก็มีออฟชั่นอื่นๆ

“จีนเทาก็ต้องการคนที่จะคุ้มครองความปลอดภัยของกลุ่มจีนเทา  ให้พื้นที่ซึ่งเขาซ่องสุมหลบซ่อนได้ อย่างเอาเฉพาะฝั่งเมียนมา กองกำลัง BGF หรือกลุ่มกระเหรี่ยงที่ถืออำนาจบางกลุ่มสามารถให้เงื่อนไขตรงนี้ได้ ก็เช่น หม่อง ชิตตู่ เป็นต้น แต่ขณะเดียวกันกลุ่ม BGF ของหม่อง ชิตตู่ มีหน้าที่ในการคุ้มกันความปลอดภัยให้จีนเทา แล้วจีนเทาก็มีรายได้ส่วนหนึ่งให้กับกลุ่มหม่อง ชิตตู่ ได้มาบำรุงเลี้ยงกองกำลัง ได้แจกจ่ายสวัสดิการผลประโยชน์ให้กับกำลังพลได้ “

ส่วนผลประโยชน์-เม็ดเงินที่เกี่ยวข้อง คิดว่าเม็ดเงินก็ไหลกระจายไปถึงตัวแสดงหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BGF -กลุ่มผู้ประกอบการบางชาติพันธุ์ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐของทางการเมียนมา ไม่อย่างนั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีการอะลุ้มอล่วย ผ่อนสั้นผ่อนยาวให้กับการประกอบธุรกิจของจีนเทา แต่น้ำหนักการไหลไปที่ฝ่ายไหนก็ขึ้นอยู่กับบางโปรเจกต์บางพื้นที่ ว่าจะเทน้ำหนักไปที่่ฝ่ายไหนมากกว่ากัน

แต่ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจก็คือ เหตุการณ์ที่สีหนุวิลล์รัฐบาลจีนกดดันรัฐบาลกัมพูชาให้จัดการกับจีนเทาในสีหนุวิลล์ จนทำให้เกิดเหตุการณ์ตึกร้างในสีหนุวิลล์ เพราะจีนเทาก็ถอนทุนกันออกไป ซึ่งพอมันเกิดเอฟเฟกต์แบบนี้ แล้วมาดูที่ลุ่มแม่น้ำเมย ของหม่อง ชิตตู่  กับจีนเทา เขาก็เห็นสีหนุวิลโมเดล เขาก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นแบบนั้น

ผมคิดว่าที่ หม่อง ชิตตู่ เขาออกมาแถลงข่าวเมื่อเร็วๆนี้ ก็เป็นกลยุทธ์แบบฟอกขาว เพื่อทำให้ทั่วโลกหรือรัฐบาลจีนเห็นว่า กลุ่มเขาเอาจริงเอาจัง มีจริยธรรมมากขึ้นในการจัดการกับจีนเทา วางมาตราการ 1 2 3 4 ชัดเจนเพื่อแสดงให้ทางการจีนเห็นว่าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย แต่กระนั่นก็ตาม ผมคิดว่าไม่มีทางที่จะไปปราบปรามจีนเทาได้แบบฉับพลันรวดเร็ว ถอนรากถอนโคลน เพราะพวกนี้ต้องพึ่งพิงพึ่งพากันในเศรษฐกิจชายแดน แต่จะมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการจัดฉากในลักษณะที่ทำให้ฟอกขาว ดูดี หรือจะมีการปราบปรามจีนเทาบ้าง แต่ก็เป็นแบบผ่อนสั้นผ่อนยาวทีละขั้นทีละตอน

เมื่อถามถึงมองความเคลื่อนไหวกรณีเมื่อวันที่ 29 มกราคม นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง และสาธารณะ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ เดินทางไปสำรวจชายแดนฝั่งไทยในจุด ที่มองเห็นเคเคปาร์ค ตรงข้ามแม่สอดอย่างไร “รศ.ดร.ดุลยภาค” ให้ทัศนะว่า เป็นการแสดงให้เห็นความเอาจริงเอาจังในการปราบปรามแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นการแสดงอำนาจ แสดงอิทธิพลพอสมควร เพราะว่าท่าทีของจีนในการควบคุมสั่งการหรือชี้นำ ให้รัฐบาลไทยต้องเอาจริงเอาจังกับการจัดการกับกลุ่มที่ทำสิ่งผิดกฎหมายทางฝั่งนั้น(เมียนมา) ต้องเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมคิดว่ามันก็เป็นดาบสองคม มีทั้งข้อดีและข้อที่ควรพึงระมัดระวังเอาไว้

ข้อดีก็คือ ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ร่วมกันปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์ที่ทำสิ่่งผิดกฎหมาย ไทยกับจีน ก็ร่วมมือกัน เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ แต่หากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง อย่าลืมว่าจีนเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเซีย และปฏิสัมพันธ์ระหว่างจีนกับประเทศอื่นๆ มีทั้งแบบวินวิน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กับมีทั้งแบบจีนกินรวบในหลายโปรเจคต์แต่ผู้เดียว เพราะฉะนั้นการเข้ามาของจีนแบบนี้ ถ้ารัฐบาลไทยไม่ take action ว่านี้เป็นอธิปไตยของเรา การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ขอให้เชื่อใจประเทศไทย ประเทศไทยทำเต็มที่ก่อน แล้วก็ขอความร่วมมือกับจีน ในระดับทวิภาคี พหุภาคี ถ้าเป็นอย่างนั้น น่าจะพอโอเค แต่ถ้าเป็นลักษณะที่จีนขอร้องอะไรมาแล้วเราจัดให้หมด แล้วมันอาจจะมีปัญหาในอนาคต

คือจีนอาจให้เหตุผลก็ได้ว่า หน่วยงานของไทยอาจต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง ประเมินดูแล้วไทย ฝ่ายเดียว ไม่น่าจะเอาอยู่ในการปราบปรามแก็งคอลเซ็นเตอร์ เพราะฉะนั้นจะต้องมีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของจีน ทหารจีน ตำรวจจีน แบบชุดผสมเข้ามาหรือไม่

ที่ผมพูดแบบนี้ เพราะมันมีเคสเปรียบเทียบในกรณีของพม่ากับปากีสถาน เพราะทั้งสองประเทศ จีนก็ใช้ระเบียงเศรษฐกิจ แล้วก็มี จีนขาว จีนเทา เข้ามาอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ตามรายทางที่จีนลงทุน แล้วปรากฏว่า จีนบอกว่า เจ้าหน้าที่รัฐของเมียนมากับปากีสถาน ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เพราะฉะนั้นขอให้ทหารจีนเข้ามาหรือไม่ ก็อ้ำๆอึ้งๆ กัน จะให้ทหารจีนเข้ามาดีหรือไม่ เป็นการละเมิดอธิปไตยหรือไม่ ก็ได้สูตรแก้ปัญหาคือให้บริษัทความมั่นคงของจีน -เจ้าหน้าที่รปภ.จีน เข้ามาอยู่ในพื้นที่ เพื่อจะพิทักษ์ผลประโยชน์จีน และจัดการกับพวกจีนเทา ก็เลยกลายเป็นว่า โมเดลแบบนี้ หากเราปล่อยให้จีนมีอำนาจมากขึ้น ก็อาจมีลักษณะแบบนี้ มีบริษัทรักษาความปลอดภัยเข้ามาจัดการกับแก็งคอลเซ็นเตอร์ที่เขตแดนอธิปไตยของไทย แล้วก็ข้ามไปจัดการกับฝั่งโน้น(เมียนมา) อันนี้ไม่ได้คิดมาก แต่เผื่อเหลือเผื่อขาด 

สำหรับการแก้ปัญหาแก็งคอลเซ็นเตอร์อะไรต่างๆ ผมคิดว่าควรมีการตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการชายแดนขึ้นมา โดยให้มีกรรมการจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 ท่าอากาศยานไทย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย มานั่งร่วมกันแล้วให้นายกฯหรือรองนายกฯมาเป็นหัวเป็นประธานคณะกรรมการ โดยกระบวนการตัดสินใจก็ใช้เสียงข้างมาก โดยให้มีการคลอดชุดนโยบายออกมาที่สามารถทำตามได้เลย ก็จะทำให้องค์กรต่างๆ ไม่ใช่มาบอกว่า รับผิดชอบขอบเขตใครขอบเขตมัน แต่ให้มานั่งตัดสินใจในเรื่องความมั่นคงและความเรียบร้อยทั่วไป แล้วบูรณาการการทำงานร่วมกัน ส่วนการตัดไฟของกฟภ.ก็คงส่งผลกระทบประมาณหนึ่งแต่คงไม่ได้ทำให้จีนเทาสลายตัวไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาก็มีออฟชั่นอื่นๆ

ไม่เกินปลายปีนี้ 2568 มีเลือกตั้งในเมียนมา กับบทบาท ทักษิณ เวทีอาเซียน

“รศ.ดร.ดุลยภาค“ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา ที่หลายคนจับตามองว่า จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปีนี้หรือไม่ว่า การเมืองในเมียนมา  มีตัวแปรที่น่าสนใจสองอย่าง หนึ่งคือการเจรจาสันติภาพทั่วประเทศ สอง การเลือกตั้งทั่วประเทศ  แต่อันไหนจะเกิดก่อนเกิดหลัง ก็น่าจะวิเคราะห์กัน คือหากในปีนี้ มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก่อน รัฐบาลทหารพม่า เป็นฝ่ายนำในการจัดการเลือกตั้ง ก็อาจจะได้รัฐบาลผสม แต่ทหารยังมีบทบาททางการเมืองอยู่

การเลือกตั้งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย แต่มันไม่ได้เป็นปัจจัยที่พอเพียงในการพัฒนาสันติภาพ เพราะฉะนั้น แม้มีการเลือกตั้งแต่หากว่ากลุ่มอำนาจในกองทัพยังอยู่ในอำนาจต่อแล้วหลังจากนั้น เขาจะมาจัดให้มีการเจรจาสันติภาพ มันก็ดูแล้ว จะไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่เพราะว่า คู่ขัดแย้งเขาก็ยังเห็นว่ารัฐบาลก็ยังนำโดยทหารพม่าอยู่

แต่ถ้ามีการสลับ sequence คือมีการเจรจาสันติภาพหรือหยุดยิงทั่วประเทศเกิดขึ้นก่อนในปีนี้แล้วให้คู่ขัดแย้งเข้ามาเจรจาความทางการเมือง ผ่อนสั้นผ่อนยาว ลดราวาศอก และอาจจะมีการตั้งคณะผู้ปกครองปรองดองแห่งชาติขึ้นมา แล้วพออยู่ไปจนได้ที่สักระยะ ค่อยจัดให้มีการเลือกตั้ง ถ้าออกมาลักษณะแบบนี้จะทำให้เกิดความยุติธรรมในกระบวนการจัดการความขัดแย้ง และการเลือกตั้งมันก็จะฟังก์ชั่นได้ เพราะก็จะได้รัฐบาลที่มาจากกลุ่มคู่ขัดแย้งหลายกลุ่มเข้ามา 

-คิดว่าภายในปีนี้ 2568 จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเมียนมาหรือไม่?

ผมคิดว่า ยัง 50-50 คือในมุมของรัฐบาลทหารพม่า เขาอยากให้มีการเลือกตั้งเพราะมันเป็นการเปลี่ยนผ่านการเมืองแล้วทหารจะได้ลงจากอำนาจ หรือถ้าไม่ลงจากอำนาจ เขาอาจใช้การเลือกตั้ง ชุบตัวสร้างความชอบธรรมให้เขาอยู่ต่อในตำแหน่งอะไรก็ได้ แต่ว่าแรงกดดันจากประชาคมโลกมันจะพร่องลงไป เพราะการเลือกตั้งมันช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และก็มีท่าทีจากนานาชาติ ซึ่งก็มีซีกหนึ่งอยู่แล้วที่จะบอกว่าเห็นควรด้วย เพราะอย่างน้อยก็มีการเลือกตั้ง แล้วก็ขอให้มีความสงบกัน

 ในมุมของทหารพม่าเขาก็อยากจะจัดให้มีการเลือกตั้ง ก็น่าจะได้เห็นในปลายปีนี้ แต่ดูในมุมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล NUG (National Unity Government-NUG)เขาไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง เพราะมันจะเป็นการเลือกตั้ง ที่ทหารจัดการเลือกตั้งมันก็ไม่ได้บริสุทธิ์ยุติธรรม ธงของเขาก็คือสู้รบไป จนกว่าจะโค่นทหารได้ แล้วสร้างสหพันธ์รัฐประชาธิปไตย จึงต้องอยู่ที่ว่า กำลังของ NUG แรงพอหรือไม่ หากกำลังเขาแรงพอ มันอาจจะมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ นั่นก็คือ เขาจะยึดพื้นที่บางส่วนในประเทศพม่าแล้วสร้างเขตปลดปล่อย แล้วไปตั้งเมืองหลวงแข่งกับกรุงเนปิดอว์ แต่อันนี้คือรสชาดขนานแท้ของสงครามกลางเมืองเลย ถ้าเขาตั้งได้ เขายึดมัณฑะเลย์ได้ หรือยึดบางเมืองในพม่าตอนเหนือได้ แล้วตั้งเป็นศูนย์บริหารราชการแผ่นดิน ศูนย์ควบคุมสั่งการ เอามวลชนไปอยู่ในนั้น มันก็จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะได้รับการยอมรับจากนานาประเทศได้บางส่วน

สำหรับบทบาทของอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่มาเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ ต่อกรณีเมียนมา ก็คิดว่ามาเลเซีย น่าจะมีทิศทางเดียวกับอินโดนีเซีย หรือบางประเทศในอาเซียนก็คือ ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนสู่ประชาธิปไตย วิพากษ์วิจารณ์ทหารเมียนมา แล้วก็น่าจะให้กำลังใจ รัฐบาล NUG แต่ถ้ามาเลเซียอยากจะรวมเสียงอาเซียนในการกดดันเมียนมามากขึ้น มันก็ทำให้เกิดความน่ากลัวเหมือนกัน สำหรับยุทธศาสตร์การทูตรัฐบาลทหารเมียนมาว่าจะยังไงต่อ แต่มันก็มีจุดพลิกเหมือนกัน ถ้าในปีนี้มาเลเซียอยากจะกดดันทหารเมียนมา แต่หากทหารเมียนมาประสบความสำเร็จในการจัดให้มีการเลือกตั้ง ที่หากมีการเลือกตั้ง แรงกดดันจากมาเลเซียอาจจะแผ่วลง มันก็มีการตอบโต้กันพอสมควร

แต่สิ่งที่น่าติดตามชม คือการที่อันวาร์ อิบราฮิม ตั้งคุณทักษิณ ชินวัตรเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ซึ่งหากถามว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนหรือไม่ ผมว่าก็อาจเปลี่ยนได้บางส่วน คือกลยุทธ์ของคุณทักษิณ ผมคิดว่าการที่เขาได้เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน เขาจะทำให้บทบาทไทยที่นำโดยรัฐบาลเพื่อไทย สามารถแตะเกี่ยวก้อยกับรัฐบาลกัวลาลัมเปอร์ได้ ในเรื่องการแก้ไขปัญหาในเมียนมา และยุทธการดับไฟใต้ รวมถึงบทบาทของไทยที่อาจจะไปจอยกับทางมาเลเซีย ในการคุยเรื่องทะเลจีนใต้หรือเรื่องอื่นๆ มันจะได้ภาพตรงนี้มากขึ้น

ผมคิดว่าเรื่องที่ท่าน(ทักษิณ) น่าจะให้น้ำหนักก็มีเช่น การดับไฟใต้ ซึ่งจะต้องมีการร่วมมือกับมาเลเซีย คือถ้าจะทำให้อิมเมจของประเทศไทยสูงขึ้น แล้วความสัมพันธ์ไทยกับมาเลเซียดีขึ้น ก็มาช่วยกันบรรเทาปัญหาชายแดนใต้บางส่วน มันก็อาจมีข้อเสนอบางอย่างบ้างแม้ว่า ต้นตอของปัญหาหลายอย่าง ก็อาจมีการวิเคราะห์กันว่า มาจากจุดไหนยังไง

และอีกจุดหนึ่งที่คุณทักษิณอาจให้ความสำคัญนอกจากเรื่องภาคใต้ก็คือพื้นที่แม่สอดเมียวดี ที่ชายแดนตะวันตกว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้ AH1 ทางหลวงเอเชียสาย 1 ที่เป็นส่วนถนนสายเอเซียที่ประเทศไทยส่งออกสินค้า-บริการเข้าไปในพม่าภาคใต้และตะวันออกเฉียงใต้ ณ วันนี้มันต้องมีการซ่อมถนน แต่มันมีสถานการณ์การสู้รบ จะไปคุยกับกะเหรี่ยง KNU ไปคุยกับทหารเมียนมา ยังไง ให้มีการเปิดใช้เส้นทางนี้ เพราะเส้นทางตรงนี้ จากแม่สอด-เมียวดี มันเป็นส่วนหนึ่งของระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งมันเชื่อมสินค้าจากแปซิฟิกมาเวียดนาม มาขอนแก่น พิษณุโลก แม่สอด เมียวดี ไปทะลุมะละแหม่งย่างกุ้ง เลย ซึ่งตรงนี้ถ้าเป็นรัฐบาลเพื่อไทย ที่ให้ความสำคัญกับการค้า เขาจะดูเรื่องนี้้เหมือนกัน

The post ตรวจแนวรบเมียนมา มังกรสยายปีก..จีนเทายังเบ่งบาน? appeared first on .

You may also like...