นับถอยหลัง 13 มิ.ย. ศาลฎีกาฯ ไต่สวนคดีชั้น 14 หวังนิติรัฐ-นิติธรรม กลับคืนมา
หลักฐานใบเสร็จที่จ่ายให้ รพ.ตำรวจ มีการล็อกไว้ในระบบ หากไปแก้ในระบบจะรู้ทันทีว่ามีการแก้ไข ไม่ใช่ว่าแก้ไม่ได้ คนพวกนี้ทำได้หมด…เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง แต่ต้องการให้กระบวนการยุติธรรม นิติรัฐ นิติธรรม กลับคืนสู่ประเทศไทย
สัปดาห์นี้ วันศุกร์ที่ 13 มิ.ย. เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นวันที่ “ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นัดไต่สวนเรื่องการรักษาตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่นายทักษิณไปนอนอยู่ร่วม 181 วัน จนครบกำหนดการพักโทษทำให้ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว
หลังก่อนหน้านี้ เมื่อ 30 เม.ย. ศาลฎีกาฯ สั่งให้โจทก์ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.-อัยการสูงสุด) และจำเลย (ทักษิณ ชินวัตร) ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ส่งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ศาลฎีกาฯ ภายในไม่เกิน 30 พ.ค.ที่ผ่านมา
“ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นคนที่เคลื่อนไหวยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้ทำการไต่สวนการส่งตัวและการรักษาทักษิณ ชินวัตร โดยมีการยื่นไปถึงสามรอบ ซึ่งแม้ศาลฎีกาฯ จะไม่รับคำร้องไว้ แต่สุดท้ายก็เข้ามาทำการไต่สวนเอง เรื่องดังกล่าวจึงถือว่านายชาญชัยมีบทบาทสูงในเรื่องนี้
โดย “ชาญชัย” กล่าวก่อนถึงวันลุ้นระทึกวันที่ 13 มิ.ย.นี้ว่า จากการที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผมกับคณะไปยื่นเอกสารในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องชั้น 14 ให้ศาลฎีกาฯ ข้อมูลที่ส่งให้ศาลฎีกาฯ เป็นหลักฐานที่เป็นรายละเอียดในเรื่องคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ และข่าวสารต่างๆ เช่น กรณีสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจ เพื่อไต่สวนข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 12 คน หลักฐานที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีต ผบ.ตร.เคยไปเป็นพยานชี้แจงกับทาง ป.ป.ช. รวมถึงข้อมูลที่ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ที่เคยไปเป็นพยานในชั้น ป.ป.ช.ก่อนหน้านี้ เอกสารของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่เคยออกรายงานเรื่องชั้น 14 รวมถึงผลการพิจารณาตรวจสอบของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ชุดที่ผ่านมา ซึ่งมีนายสมชาย แสวงการ เป็นประธาน กมธ.ที่เคยตรวจสอบเรื่องชั้น 14
…เอกสารเหล่านี้เดิมทีผมคิดจะนำเข้าสู่การไต่สวนในชั้นศาลฎีกาฯ หลังเคยยื่นคำร้องไปสามครั้ง แต่เมื่อศาลฎีกาฯ ไม่ได้รับคำร้องผมไว้ แต่ศาลฎีกาฯ เข้าไปไต่สวนเอง เลยนำเอกสารไปยื่นให้ศาลฎีกาฯ เพื่อให้ข้ออ้างอิงต่างๆ มีความครบถ้วนว่า นายทักษิณไม่ได้เข้าสู่การจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ก่อนหน้านี้
“ชาญชัย” กล่าวต่อไปว่า รวมถึงยังยื่นเอกสาร “ใบเสร็จรับเงิน รพ.ตำรวจ ที่เป็นใบเสร็จค่าใช้จ่ายของนายทักษิณ ชินวัตร ตอนที่นอนพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ” ซึ่งผมมีเอกสารนี้มานานแล้ว เดิมทีจะนำไปใช้ในชั้นไต่สวนของศาลฎีกาฯ ตอนที่ผมยื่นคำร้องไป แต่เมื่อศาลไม่ได้รับคำร้องของผม เลยนำเอกสารเข้าสำนวนไปยื่นให้ศาลฎีกาฯ
เอกสารดังกล่าวคือการยืนยันว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยจริงเพราะมีรายละเอียดอยู่ในใบเสร็จ ที่นายทักษิณจ่ายเงินให้ รพ.ตำรวจ ที่มีแต่ค่าห้องพักกับค่าอาหารเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีค่ายาอะไรเลย เพราะอย่างเวลาเราป่วยแล้วไปโรงพยาบาล หมอก็จะตรวจอาการแล้วก็จ่ายยา แล้วก็มีใบเสร็จให้ โดยในใบเสร็จจะมีรายละเอียดหมด เช่นค่ายา แต่ใบเสร็จของนายทักษิณไม่มีค่ายาอะไร มีแต่ค่าห้องพัก เหมือนกับคนไปเช่าห้องไว้ แบบนี้ก็เป็นหลักฐานชัดว่านายทักษิณป่วยหรือไม่ป่วย เพราะหากป่วยยังไงต้องมีค่ายาด้วย ส่วนเรื่องเวชระเบียนของนายทักษิณคงเป็นหน้าที่การตรวจสอบของแพทยสภา ซึ่งเขาคงได้มาหมดแล้ว
“ทั้งหมดเป็นเรื่องการที่นายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง แต่อ้างว่าป่วย แล้วบรรดาแพทย์ ผู้บัญชาการเรือนจำ และเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องมีการรวมหัวกัน ซึ่งหลักฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คนที่เป็นหัวโจกก็คือคนที่จ่ายเงินค่าห้องพัก ที่ก็คือนายทักษิณ จึงถือว่าเป็นคนบงการ เพราะเขาไม่ได้ป่วย แต่จะมาอ้างอะไรต่างๆ แล้วให้คนอื่นมาติดคุกแทน”
…หลักฐานทั้งหมดไม่ใช่หลักฐานที่พวกผมทำกันขึ้นมา แต่เป็นหลักฐานทางราชการ ซึ่งหากเขาจะบอกว่าไม่จริงแล้วส่งเอกสารอีกอันไปให้ศาลฎีกาฯ ตรงนี้ศาลก็จะพิสูจน์เอง แต่ใบเสร็จดังกล่าวออกมาจาก รพ.ตำรวจ มีเจ้าหน้าที่เซ็นรับรองว่าเป็นเอกสารจริง ผมไม่ได้ไปขโมยมา ไม่ได้เป็นเอกสารลับ มีคนส่งมาให้ผม ผมก็เลยส่งไปให้ศาลฎีกาฯ เอกสารที่ส่งให้ศาลฎีกาฯ เป็นการทำให้เห็นว่าแพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจในเวลานั้น เป็นคนรักษาหรือไม่ได้รักษานายทักษิณ ซึ่งจากข้อมูลก็คือไม่ได้มีการรักษา เพราะไม่ได้มีอาการรุนแรง ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ได้ป่วยวิกฤต ก็ใบเสร็จออกมาว่าไม่มีค่ายา เมื่อส่งไปให้ศาลฎีกาฯ แล้วก็ให้ศาลไปพิจารณา เป็นอำนาจศาล
ย้ำใบเสร็จจ่าย รพ.ตำรวจ ตอกฝาโลง ป่วยทิพย์
“ชาญชัย” เปิดเผยว่า ตอนที่ไปยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาฯ เมื่อ 29 พ.ค. ทางกลุ่มของผมที่ไปยื่นเอกสารต่อศาลฎีกา (พล.ต.อ.เสรีพิสุทธ์ เตมียเวส อดีต สส.พรรคเสรีรวมไทย ที่เคยไปเยี่ยมนายทักษิณที่ รพ.ตำรวจ 2 ครั้งช่วงนอนพักรักษาตัว, นายสมชาย แสวงการ อดีต สว., นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ, นายภิมะ สิทธิ์ประเสริฐ และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา) ได้แจ้งต่อศาลฎีกาฯ ว่าในวันที่ 13 มิ.ย.นี้จะขออนุญาตเข้าฟังการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวันดังกล่าวด้วย ซึ่งต้องรอว่าทางเจ้าหน้าที่ของศาลฎีกาฯ จะแจ้งให้เข้าฟังการไต่สวนหรือไม่
เมื่อถามถึงมุมมองต่อทิศทางการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวันที่ 13 มิ.ย. “ชาญชัย” ซึ่งเป็นคนที่เดินหน้าตรวจสอบเรื่องดังกล่าวผ่านช่องทางการยื่นศาลฎีกาฯ ถึงสามครั้ง กล่าวว่าที่ทางกลุ่มนำข้อมูลข้อเท็จจริงไปยื่นให้ศาลฎีกาฯ เมื่อ 29 พ.ค.เพื่อให้เรื่องนี้ครบเรื่อง แต่ว่าเรื่องข้อกฎหมาย ถ้ากรณีนี้เมื่อไม่ได้มีการรักษา ไม่ได้ป่วย ก็เท่ากับขัดต่อคำสั่งของศาลฎีกาฯ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 89/2 เขียนไว้ว่าต้องขออนุญาตศาล หากจะย้ายไปขังไว้ที่โรงพยาบาล โดยไม่ป่วยก็ทำได้ แต่ต้องไปขออนุญาตกับศาลฯ แต่ถ้าป่วยจะไปเข้าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เรื่องการบังคับตามคำพิพากษาฯ มาตรา 246 ที่ก็คือต้องไปขออนุญาตต่อศาล แล้วศาลจะเป็นคนอนุญาต ถ้าทำให้ถูกต้องจะต้องไปแจ้งต่อศาล ทั้งหมดเป็นอำนาจของศาลตามข้อกฎหมาย แต่ยิ่งไม่ป่วยยิ่งเป็นการหลีกเลี่ยงและหลอกลวง ขัดคำสั่งศาล ไม่จำคุกตามคำพิพากษาศาล อันนี้ยิ่งไปกันใหญ่เลย แล้วศาลจะพิจารณาตัดสินกันอย่างไร เพราะทุกอย่างทำผิดกฎหมายกันหมด
กรมราชทัณฑ์ไม่ได้มีอำนาจนำนักโทษออกจากเรือนจำไปโดยพลการ แต่เป็นอำนาจของศาล พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 6 กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า “กรมราชทัณฑ์อาจดําเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่นนอกจากการควบคุม ขัง หรือจําคุกไว้ในเรือนจํา แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา”
รวมตลอดถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่ก็คือกรณีนำนักโทษไปรักษา อย่าไปออกกฎกระทรวงใดๆ ที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เมื่อมีการออกกฎกระทรวงที่ขัดตั้งแต่แรกเริ่มแล้วมีการลักไก่ซ้ำ พบว่ากฎกระทรวงดังกล่าวมีการออกกฎกระทรวงแก้ไขของกระทรวงยุติธรรม รมว.ยุติธรรมออกกฎกระทรวงที่ตัวเองรักษาการ สองฉบับมีการออกมาโดยขัดกันเอง ถามว่ามีเจตนาเรื่องอะไร ผมก็เขียนประเด็นนี้ส่งไปให้ศาลฎีกาฯ แล้ว ทางศาลก็จะไปพิจารณาเอง กฎหมายไม่ได้ห้ามราชทัณฑ์พานักโทษออกไป แต่ราชทัณฑ์ต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาควบคู่กันไปด้วย จะพาไปไหนก็ได้ แต่ต้องแจ้งกับศาล หากศาลอนุญาตก็จบเรื่อง แต่อันนี้เขากลัวว่าศาลจะรู้ที่พาออกไป ก็เลยไม่แจ้ง พอไม่แจ้งก็ขัดกับกฎหมายแล้วเมื่อตอนนี้
ศาลฎีกาฯ จะเข้ามาไต่สวน สิ่งที่เคยอ้างว่าป่วยวิกฤต ก็ไม่ได้ป่วย ไม่ได้รักษาเลย เจ็ดวันแรกที่ไปนอนไม่ได้ค่ารักษาอะไร มีแต่ค่ายา 159 บาท แล้วจะป่วยวิกฤตได้อย่างไร นอกนั้นก็เป็นค่าห้องพัก ไปนอนชมวิว
“ชาญชัย” ย้ำว่า การยื่นเรื่องดังกล่าวของกลุ่มตนเองต่อศาลฎีกาฯ เมื่อ 29 พ.ค. ไม่ได้เป็นเพราะมีความอาฆาตอะไร แต่เพื่อต้องการให้กระบวนการไต่สวนของศาลฎีกาฯ เกิดความยุติธรรมเต็มที่ เมื่อส่งไปแล้วก็ให้คนที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงต่อไป ผมก็ทำให้สมบูรณ์เท่านั้นเอง ส่วนที่นายกสมาคมทนายความอ้างว่า เรื่องนี้หากจะผิดก็เป็นความผิดระดับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายทักษิณ มองว่าก็เป็นความซวยของคนที่ไปช่วยทักษิณแล้วก็จะติดคุกแทน หากนักกฎหมายคิดแบบนี้ มันไม่เป็นธรรมต่อกระบวนการของคนที่เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดเรื่อง ถามว่าใครเป็นคนสั่งให้ราชทัณฑ์กับหมอ ทำแบบนี้
หากนายทักษิณป่วยจริง ป่านนี้หลักฐานก็ต้องปรากฏ เช่น ค่ารักษา ค่าหมอที่รักษา ค่ายา เพราะไปนอนตั้ง 181 วันแต่กลับไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าวเลย แล้วจะมาโยนให้ราชทัณฑ์กับหมอไปติดคุกแทนคุณ ผมถึงเคยบอกว่า ทักษิณทำไมคุณใจดำ ให้คนอื่นมาติดคุกแทนคุณ ถ้าแบบนี้ก็ไม่เป็นธรรม จึงต้องการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะใบเสร็จเหล่านี้ทักษิณเป็นคนจ่ายเงิน ถ้าเขาไม่ได้จ่ายเงิน ชื่อในใบเสร็จจะเขียนชื่อนายทักษิณได้อย่างไร หากแพทย์ที่เกี่ยวข้องจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แบบที่ผมบอก เขาก็ต้องไปอธิบายต่อศาลต่อไปว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ถ้าแบบนี้ผมว่าเขาจะยิ่งหนักเลย เพราะเจ้าหน้าที่การเงินของ รพ.จะเล่นกับคุณด้วยหรือไม่
หลักฐานตรงนี้ใบเสร็จที่จ่ายให้ รพ.ตำรวจ มีการล็อกไว้ในระบบ หากไปแก้ในระบบจะรู้ทันทีว่ามีการแก้ไข ไม่ใช่ว่าแก้ไม่ได้ คนพวกนี้ทำได้หมด แต่เราก็จะรู้ทันทีหากเขาจะแก้ไขข้อมูลในระบบ หากนายทักษิณยืนยันว่าป่วยจริง เขาก็ต้องชี้แจงออกมาว่า เขาจ่ายเงินให้หมอให้โรงพยาบาลจริงหรือไม่ เวชระเบียนเป็นอย่างไร แล้วพยาบาลเขาก็มีข้อมูลอีกชุดหนึ่งของเขา ค่ายาก็มีอีกชุดหนึ่งของทางเภสัชกร ก็นำมาโชว์กันเลย
เรื่องนี้จริงๆ ไม่ต้องรอศาลไต่สวน คุณทักษิณไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรมให้คนอื่น ก็ออกมาชี้แจงก่อน และผมขอไม่ก้าวล่วงไปคิดแทนเขาว่า จะยอมติดคุกเพื่อรักษาอนาคตของรัฐบาลลูกสาวเขาไว้ แต่หากเขายอมติดคุก ก็คือเขายอมรับว่าเขาทำผิด ก็จบเรื่องไป ส่วนว่าจะมีผลต่อมากับเรื่องอะไร จะมีผลกับลูกเขาในการเป็นนายกฯ หรือไม่อย่างไร ตรงนี้ผมไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง แต่ต้องการให้กระบวนการยุติธรรม นิติรัฐ นิติธรรมกลับคืนสู่ประเทศไทย และคดีนี้ (ที่ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุกนายทักษิณ) เป็นคดีทุจริตที่เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ คนเป็นอดีตนายกฯ ยอมรับกับศาล แล้วศาลตัดสินจำคุก 3 คดี จำคุกรวม 8 ปี แล้วมาใช้อำนาจรัฐในทางไม่ชอบ มีการร่ำลือว่าไม่ได้ป่วยจริง จนเราไปค้นหาความจริงมาว่าเขาไม่ได้ป่วย เมื่อข้อกำหนดของศาลฎีกาฯ เขียนไว้ว่าหากมีบุคคลรู้ก็ให้ไปแจ้งศาล
“ทั้งหมดเราทำตามหน้าที่พลเมือง ที่กว่าจะหาหลักฐานอะไรมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้สติปัญญา ใช้ความอดทน ทั้งหมดทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีอคติกับเขา” ชาญชัยกล่าวทิ้งท้าย.
โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร