เรื่อง ‘ทักษิณ’ เพิ่งเริ่มต้น

“ดีค่ะ เพราะก่อนหน้านี้มันไม่ได้เป็นข่าวดีตลอดเวลา ข่าวที่ได้รับวันนี้ถือว่าเป็นข่าวดี รู้สึกดีใจ”

นั่นคือความรู้สึกของ “อุ๊งอิ๊ง” หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง “ทักษิณ ชินวัตร” และพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ก็…แสดงความยินดีด้วยครับ “ทักษิณ” ได้ต่อลมหายใจไปอีกสักพัก

เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคดีนี้ น่าสนใจอย่างมาก

ใครที่ไม่พอใจ แล้วโจมตีศาล กรุณาทำใจนิ่งๆ

ดูเหตุดูผลให้ชัดเจน

ศาลท่านแนะนำด้วยซ้ำว่าควรทำอย่างไร

“…ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม

การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ…”

“…ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ ๑ และประเด็นที่ ๓ ถึงประเด็นที่ ๖ ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง…”

คือเรื่อง….

เทวดาชั้น ๑๔

แก้รัฐธรรมนูญ

กินมาม่าที่บ้านจันทร์ส่องหล้า

ขับพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

ทักษิณแถลงนโยบายครอบงำรัฐบาล

ทั้ง ๕ ข้อนี้ ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ

ส่วน ข้อ ๒ สั่งการไทย-กัมพูชาแบ่งผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล ข้อนี้มีมติโดยเสียงข้างมาก  ๗ ต่อ ๒ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย

แยกย่อยเหตุผลยกคำร้อง ชัดเจนมากครับเมื่อเทียบกับคดี “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพรรคก้าวไกล ล้มล้างการปกครอง

สุดท้ายนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล

และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค ๑๐ ปี

ประการแรกการที่ศาลระบุว่าแม้ผู้ร้องจะร้องตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ หลังอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการใดๆ ภายใน ๑๕ วัน แม้ศาลจะพูดถึงขั้นตอนการร้อง แต่สะท้อนให้เห็นว่าการร้องผ่านอัยการสูงสุด อาจไม่ใช่ช่องทางที่ดีที่สุด

และในข้อเท็จจริง หลายครั้งที่มีการร้องต่ออัยการสูงสุดแล้วคดีไม่ได้ไปต่อ

ประการต่อมา การที่ศาลระบุว่า “ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอ” ก็เป็นประเด็นที่น่าขบคิดว่า การยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีใดหลังจากนี้ ควรมีสารตั้งต้นที่ชัดเจน

หมายความว่า ต้องมีพยานหลักฐานเพียงพอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย

การร้องผ่าน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (ป.ป.ช.) เป็นต้น คือทางเลือกที่ดีกว่า

เพราะมีระบบการไต่สวนคดีที่ชัดเจน

นำไปสู่การได้พยานหลักฐานที่มากพอ

เช่นคดี “พิธา-ก้าวไกล”

บทความบางตอนของ “แก้วสรร อติโพธิ” ทำให้มองเห็นภาพชัดเจนขึ้น

“…การร้องเสนอเป็นภาพรวมทั้งหมดอย่างนี้ มันเข้าไปในศาลรัฐธรรมนูญลำบาก จะให้ศาลสั่งบังคับใครอย่างไรก็ไม่ทราบ ที่สำคัญแต่ละเรื่องก็มีแนวทางจัดการตามกฎหมายเฉพาะต่างๆ อยู่แล้ว…”

“…เรื่องติดคุกจอมปลอมนั่นก็เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ต้องติดคุกโดยศาลคดีทุจริต ทักษิณต้องถูกขังใหม่โดยหมายจำคุกของศาลคดีอาญานักการเมือง…”

“…เรื่องครอบงำ ติดคุกจอมปลอม ทั้งสองเรื่องนี้ ปัจจุบัน  กกต.และ ป.ป.ช. เขาตั้งเรื่องไต่สวนแล้วทั้งสิ้น…”

“…ไม่ใช่คดีใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่เป็นคดีไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งมีการจัดการตามกฎหมายต่างๆ อยู่แล้ว…”

ต้องเข้าใจกระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญด้วยนะครับ ท่านจะวินิจฉัยตามคำร้อง จะวินิจฉัยตามสถานการณ์ทางการเมืองไม่ได้

เช่นการเจรจาไทย-กัมพูชา ยังไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ ออกมา

การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังมิได้เริ่มต้น

กรณีนักโทษชั้น ๑๔ ในแง่หลักฐานอย่างเป็นทางการนับว่าน้อยมาก

ฉะนั้นผลของการไม่รับคำร้อง ก็ไม่ต่างจากศาลบอกว่าไปร้องให้ถูกช่องทาง

แยกร้องเป็นประเด็นได้ยิ่งดี

แต่ถึง “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” จะไม่ร้องใหม่ ก็มีคดีลักษณะเดียวกันนี้อยู่ในการพิจารณาของ กกต.และ ป.ป.ช.แล้ว

โดยเฉพาะคดี นักโทษชั้น ๑๔ การไต่สวนใน ป.ป.ช.กำลังเข้มข้น

เรียกหลักฐานจากโรงพยาบาลตำรวจ ๓ รอบ ได้แต่ลมกลับมา

ยิ่ง กรมราชทัณฑ์ หรือโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ให้ความร่วมมือ ก็ยิ่งเห็นพิรุธ

เพราะแทนที่จะเคลียร์ข้อสงสัย กลับกลายเป็นปิดบังข้อมูล

นึกภาพไม่ออกครับ หาก กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ไม่ให้ความร่วมมือในการไต่สวนนั้น  ป.ป.ช.จะอยู่เฉยได้อย่างไร

จะยุติแล้วไม่ชี้มูลไปดื้อๆ

หรือว่าจะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกหลักฐานทั้งหมดในชั้นไต่สวนของศาลแทน

หากเลือกอย่างแรก ป.ป.ช.ก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา

ฉะนั้นกรณีนักโทษเทวดาชั้น ๑๔ ยังไม่จบนะครับ แค่เริ่มต้นเท่านั้น

เห็น “ทวี สอดส่อง” ไปชี้แจงกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ก็เข้าใจได้เลยครับว่า ทำไม “ทักษิณ” ถึงไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เพราะตัวช่วยเยอะครับ!  

คำชี้แจงของ “ทวี” ไม่ค่อยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากคำชี้แจงที่เป็นคุณต่อ “ทักษิณ”

“…การรักษาพยาบาลท่านทักษิณ​ ไม่ขอใช้สิทธิ์ แต่ขอจ่ายเงินเอง ถ้าใครไม่พอใจ ผมก็ไม่รู้แล้ว และราคาห้องอาจจะมากกว่าที่คำนวณด้วย เนื่องจากยังมีค่าหมอค่ายาอีก​  และการที่ท่านทักษิณ​อยู่ในห้องโรงพยาบาล​ตำรวจ ก็เหมือนอยู่ในเรือนจำอยู่แล้ว​ เพราะไม่ได้ออกไปไหน…”

น่าจะเป็นนักโทษคนแรกในประวัติศาสตร์ นอกจากได้นอนห้องวีไอพีแล้ว ยังขอจ่าย “ค่านอน” เองอีกต่างหาก

ใจป้ำจริงๆ

ลองเป็นนักโทษคนอื่นสิครับ ไม่มีจ่ายแถมถูกส่งกลับคุกในเวลาอันรวดเร็วอีกต่างหาก

ขอให้โชคดีครับ มีดาบสอง ดาบสาม รออยู่.

The post เรื่อง ‘ทักษิณ’ เพิ่งเริ่มต้น appeared first on .

You may also like...