ง่ายๆ แค่เลิกโกง
อาจถึงขั้นเปลี่ยนขั้วตั้งรัฐบาลกันเลยทีเดียวครับ…
หากพรรคเพื่อไทย จะเอาให้ได้ กับร่างแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ด้วยการจับยัดเข้าสภาฯ ก็สามารถยึดอำนาจกองทัพได้สำเร็จครับ
แต่จะผ่านวุฒิสภาหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่อง
แล้วพรรคเพื่อไทยเอาความมั่นใจมาจากไหน
ก็เพราะมีแนวร่วมที่พร้อมจะลงไปสู่หุบเหวด้วยกัน นั่นคือ พรรคประชาชน
คณิตศาสตร์เบื้องต้น
พรรคเพื่อไทย ๑๔๑
พรรคส้ม ๑๔๓
๒ พรรคนี้รวมกัน ๒๘๔ เสียงเกินครึ่งในสภาผู้แทนราษฎร
ฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงโหวต
ไม่ต้องลักหลับตอนเที่ยงคืน
โหวตตอนเที่ยงวัน ก็ชนะใสๆ
แต่…ฟังเสียง “บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” รัฐมนตรีกลาโหมแล้ว ดูเหมือนว่าจะลอยแพ “หัวเขียง” ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ผู้เสนอร่างกฎหมาย
“…เสนอมาก็ถือเป็นสิทธิ์ แต่ในส่วนของผมก็ยึดร่าง พ.ร.บ.ฉบับที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งในวันนี้ก็ต้องฟังความเห็นทุกส่วนก่อน ว่าควรจะไปทิศทางใด เพราะหน้าที่เราคือการกลั่นกรองเอกสาร และวาระต่างๆ ที่จะต้องเข้าที่ประชุม ครม. ซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ความเป็นจริง จะทำอย่างไรให้เหมาะสมที่สุด และสิ่งสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับลายลักษณ์อักษร แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ความร่วมไม้ร่วมมือ และการใช้กองทัพมาช่วยพัฒนาและแก้ไขปัญหาให้มากที่สุด ส่วนเรื่องอื่นๆ เป็นแค่องค์ประกอบ ระเบียบสามารถแก้ไขได้”
“…เขามีสิทธิ์แสดงความเห็น แต่ไม่ใช่ตัวแทนพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการอย่างไร ก็ต้องพูดคุยกันอีกที แต่ย้ำว่าต้องดูความเป็นจริง ในส่วนร่างของกลาโหม อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดก่อนเข้า ครม. แต่สภากลาโหมได้พิจารณามาเบื้องต้นแล้ว และเป็นช่วงรอยต่อ รมว.กลาโหมคนก่อน ซึ่งขณะนี้ขอดูรายละเอียดอีกที…”
“…กฎหมายยังไม่ได้มีการยืนยัน และไม่ใช่จุดยืนของพรรคเพื่อไทย แต่ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความเห็นว่ามีจุดยืนอย่างไร…”
ครับ…มันก็เป็นเยี่ยงนี้ ตอนเป็นฝ่ายค้านพูดได้หมดครับ จะชวนทะเลาะกับกองทัพทุกวันก็ได้ แต่พอเป็นรัฐบาล ข้อมูลที่ถูกนำมากองไว้ตรงหน้ามันเยอะ
“บิ๊กอ้วน” ถึงได้ชิ่ง!
ที่จริงจะบอกว่าเป็นร่างกฎหมายของ “หัวเขียง” คนเดียวก็ไม่ถูกนัก เพราะการเสนอกฎหมายนั้น ต้องมี สส.เซ็นชื่อรับรอง ๒๐ คน
อย่างน้อยนี่ถือเป็นจุดยืนของ สส.พรรคเพื่อไทยร่วม ๒๐ คน
ช่วงที่ยังเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคส้ม มีแนวคิดเกี่ยวกับกองทัพ ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
แต่การแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฉบับปี ๒๕๕๑ ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน
คือ…ให้ทหารอยู่ใต้นักการเมือง
พลิกไปดู เหตุผลในร่างกฎหมายที่เสนอโดยพรรคส้ม สมัยยังเป็นพรรคก้าวไกล
“…โดยที่ปัจจุบัน ทหารและกองทัพมีอำนาจทางการเมืองผ่านโครงสร้างรัฐที่จัดวางอำนาจของกองทัพให้อยู่เหนือรัฐบาลพลเรือนในหลายกระบวนการตัดสินใจ
เช่น อำนาจของสภากลาโหมในการกำหนดนโยบายและพิจารณางบประมาณทางการทหาร
อำนาจของคณะกรรมการแต่งตั้งนายพลที่ประกอบไปด้วย ข้าราชการทหารเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นโครงสร้างการบริหารจัดการและการใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และมีความแตกต่างเมื่อเทียบกับหน่วยงานส่วนราชการอื่น
จึงควรที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการและการใช้อำนาจเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย…”
ใจความสำคัญอยู่ที่มาตรา ๒๕
พรรคส้มแก้ไขดังนี้
“…ให้ยกเลิกความในมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
มาตรา ๒๕ การบริหารจัดการกำลังพลของกระทรวงกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมายและตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด
การพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของสำนักงานปลัดกระทรวงและส่วนราชการในกองทัพไทย ให้ดำเนินการด้วยระบบคุณธรรม ด้วยการเลือกผู้มีคุณสมบัติตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง โดยคณะกรรมการที่ส่วนราชการนั้นแต่งตั้งขึ้นแล้วเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพิจารณา ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมกำหนด…”
สรุปความคือ ให้ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ตั้งแม่ทัพนายกอง ซึ่งไม่ต่างไปจากร่างกฎหมายของ “หัวเขียง”
ทำไมพรรคเพื่อไทยถึงเปลี่ยนใจ ทั้งที่ตอนเป็นฝ่ายค้าน กระเหี้ยนกระหือรือจะลดอำนาจกองทัพให้ได้
ที่จริงวานนี้ (๙ ธันวาคม) ก่อนที่ “บิ๊กอ้วน” จะให้สัมภาษณ์ นั้น “อนุทิน ชาญวีรกูล” บอกกับนักข่าวชัดเจน
“…เงื่อนไขการปฏิวัติมีอยู่แค่ไม่กี่เงื่อนไข ส่วนใหญ่ก็มาจากนักการเมืองทั้งนั้น
เราก็อย่าไปเข้าเงื่อนไขเหล่านั้น มันก็จะปฏิวัติไม่ได้
ต่อให้ออกกฎหมายอะไรมา ถ้ามีการปฏิวัติ สิ่งแรกที่ทำก็คือการฉีกรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นตรงนี้ที่จะทำก็อาจเป็นแค่สัญลักษณ์ บังคับใช้อะไรไม่ได้ ดีที่สุดก็ต้องทำตัวให้ดี ต้องซื่อสัตย์สุจริต อย่าขี้โกง อย่าไปยุแยงให้ใครแตกความสามัคคี อย่าไปลงถนนจนทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ทุกอย่างก็มีอยู่แค่นี้…”
“…ผมอยู่กับการเมืองมานาน เห็นตั้งแต่สมัยปฏิวัติ ๒๓ กุมภา ๒๕๔๓ สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเงื่อนไขการปฏิวัติก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น ถ้าไม่เข้าใกล้เงื่อนไขนั้น ก็ปฏิวัติไม่ได้…”
นี่อาจทำให้พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนใจ!
เพราะหากดันทุรังจับมือกับพรรคส้ม เพื่อยึดอำนาจทหาร จะกลับกลายเป็นว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะยึดอำนาจพรรคเพื่อไทยเสียก่อน
แต่ก็เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ ทั้งพรรคส้มและพรรคเพื่อไทยมองปัญหามิติเดียวมาโดยตลอด มองว่ากองทัพคือตัวปัญหา
แทนที่จะตระหนักว่า ฝ่ายการเมือง มีปัญหาหนักมาก
เป็นที่ประจักษ์มานานแล้วว่า การคอร์รัปชันในวงการเมืองนั้น เกินเยียวยาที่จะแก้ไข เพราะนักการเมืองซึ่งเป็นผู้ก่อปัญหา ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
การที่ “อนุทิน” กระทุ้งออกมาแบบนี้ ฝ่ายการเมืองก็ควรหันมาพิจารณาตัวเองว่า ปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่ และการยุติการทำรัฐประหารที่ได้ผลที่สุดต้องทำอย่างไร
จะเลิกโกงกันกี่โมง.
The post ง่ายๆ แค่เลิกโกง appeared first on .