ตีแสกหน้า กฎหมายกาสิโน เอื้อทุนการเมือง ร่วมวงแบ่งเค้ก เรียกเงินใต้โต๊ะ แลกใบอนุญาต

ร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ดังกล่าวพบว่าเขียนไว้เพื่อเปิดช่องให้สามารถ”เอื้อกลุ่มทุน”ในการเข้ามาขอรับใบอนุญาตทำธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ในประเทศไทย…กลุ่มที่ทำกาสิโนก็จะมีสามกลุ่มทุนหลักคือ กลุ่มทุนการเมืองในประเทศ-กลุ่มทุนต่างชาติที่ทำกาสิโนและกลุ่มทุนธุรกิจท้องถิ่น ที่คือสูตรสำเร็จของการเปิดกาสิโน… พบว่าเกือบทั้งโลก ดีเอ็นเอของกิจการด้านการพนัน มันไม่พ้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม แม้ต่อให้เป็นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

            มีความเห็นจากฝ่ายต่างๆ ตามมามากมาย กับเรื่องการที่ประเทศไทยจะมีการเปิด”กาสิโน”หลังเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการ”ร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.”ที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ที่มีสาระสำคัญคือการให้มีการเปิด”เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ที่มี”กาสิโน”รวมอยู่ด้วย โดยความเห็นที่ตามมาที่มีทั้งเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย พบว่าแต่ละฝั่งก็พยายามให้น้ำหนัก-เหตุผลเพื่อสนับสนุนแนวคิด-แนวทางของตัวเอง

“ไทยโพสต์”สัมภาษณ์พิเศษ“ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน” ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคม ที่ติดตามเรื่องนโยบายการให้เปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ ที่มีกาสิโน มาเป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน ซึ่งเขาให้ทัศนะว่าการที่รัฐบาลมีมติครม.เห็นชอบในหลักการต่อร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ฯ เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา แม้จะมีบางหน่วยงานของภาครัฐ เช่นคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นทักท้วงในหลายประเด็นแต่รัฐบาลก็ยังผลักดันให้ผ่านครม.  แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ โดยไม่ได้ให้น้ำหนักกับเสียงติติง -ทักท้วงจากหลายฝ่ายไม่มาก ทำเหมือนกับเป็นพิธีกรรมในการจะเสนอร่างกฎหมายที่ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นประกอบการพิจารณาร่างพรบ.ฯดังกล่าวก่อนนำเข้าที่ประชุมครม. เท่านั้น เหมือนกับที่รัฐบาลบอกว่าได้นำร่างพรบ.ฯ ดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นประชาชนมาก่อนจะนำเข้าที่ประชุมครม. ทั้งที่เป็นเพียงแค่การรับฟังความคิดเห็นประชาชนผ่านเว็บไซด์ประมาณสิบกว่าวัน โดยที่ประชาชนอาจไม่ได้รู้เรื่องว่ามีการรับฟังความคิดเห็น

 ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการเดินหน้าเรื่องนี้ โดยมีเป้าหมายชัดเจน จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเสียงคัดค้านของหลายฝ่ายเท่าใดนัก

เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน”ย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้น มองว่าที่รัฐบาลพยายามเร่งผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว เป็นจุดที่น่าตั้งข้อสังเกตุว่าทำไมรัฐบาลถึงเร่งรัด รีบร้อนมากนัก ซึ่งมันอาจนำมาสู่ความไม่รอบคอบทั้งที่หลายฝ่ายท้วงติง ฝ่ายการเมืองมีเป้าหมายอะไร ใช่หรือที่ว่าต้องการให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ การมี“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ไม่ได้ว่าจะเกิดได้เร็ว แม้ต่อให้ร่างพรบ.สถานบันเทิงฯ ผ่านรัฐสภาในปีนี้ก็ตาม เพราะกว่าโครงการ(สถานบันเทิงครบวงจร) จะเกิดขึ้นได้ต้องใช้เวลาพอสมควร ต่อให้เร่งอย่างไร ก็ต้องใช้เวลาดำเนินการเป็นปี

“การที่เร่งรีบ รวบรัด มีอะไรที่อยู่เบื้องหลัง ที่ไม่ได้พูดกับประชาชนหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามใหญ่ๆ กับรัฐบาล ทั้งที่ยังมีเสียงติติงที่แสดงความเป็นห่วงถึงการดำเนินการที่ยังไม่รอบคอบ รอบด้าน ก็ควรชะลอไว้ก่อนเพื่อจะได้ตอบโจทย์ทุกด้านที่มีเสียงติติงทักท้วงมา”

ชำแหละเขียนกฎหมายหมกเม็ด -ไม่ตรงปก-ตีเช็คเปล่า

-เนื้อหาในร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ  ภาพรวม มีจุดใหญ่ๆ อะไรที่เป็นข้อสังเกตหรือไม่ เช่นคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่นายกฯเป็นประธาน?

พบว่า ร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจร ฯ ดังกล่าว ไม่ได้มีกรอบอะไรที่ชัดเจนว่าประเทศไทยที่จะมีสถานบันเทิงครบวงจรโดยมีกาสิโนเป็นส่วนประกอบสำคัญสุดท้ายแล้วจะให้มีกี่แห่ง ซึ่งในต่างประเทศจะมีการกำหนดไว้ชัดเจนเช่นบางประเทศเขากำหนดไว้ชัดเจนว่า ในยี่สิบปีแรกจะมีแค่สองแห่งหรืออย่างสิงคโปร์ เป็นความตั้งใจของรัฐบาลสิงคโปร์ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าในยี่สิบปีแรก จะให้มีIntegrated Resort เพียงแค่สองแห่ง หรือญี่ปุ่น ก็ให้มีแค่สามแห่ง แต่หากไปดูในร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ จะพบว่าไม่ได้มีการวางกรอบเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน

ทำให้หากมีการประกาศใช้กฎหมายฯ จะทำให้ประเทศไทยเรามีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนเป็นหลัก เกิดขึ้นได้หลายแห่ง และได้หลายขนาดด้วย เพราะไม่ได้มีการวางโมเดลไว้ว่าต้องเป็น Integrated Resort แบบใหญ่ๆ เหมือนเช่นที่สิงคโปร์หรือของประเทศอื่น เพราะการใช้คำว่าสถานบันเทิงครบวงจร ก็ไม่ได้มีภาพชัดว่า คำว่าครบวงจร จะให้มีขนาดใหญ่แค่ไหน โดยหากเทียบกับรายงานผลการศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่แล้วยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เคยมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญมาศึกษาเรื่องนี้ พบว่าได้เขียนกรอบไว้ชัดเจนว่า อาจให้มีได้ในหลายจังหวัดที่มีความเหมาะสมที่จะให้มีการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีร่วมๆ สี่สิบกว่าจังหวัด และให้มีเปิดได้หลายไซส์ แบบ S-M-L

มันจึงเห็นภาพได้ว่า ร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ มีการเปิดช่อง เปิดประตูไว้ให้ว่า ในอนาคตต่อไป จะมีสถานบันเทิงครบวงจร ได้หลายที่หลายขนาดหลายไซส์มากขึ้น ซึ่งมันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็คือสุดท้ายแล้ว ร่างพรบ.สถานบันเทิงฯ จะไม่”ตรงปก”ตามที่เคยเสนอบอกกับประชาชนว่า จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวสูงมาก ที่หากทำก็ต้องเป็นโครงการระดับเมกะโปรเจคต์ แต่พอไปดูในเนื้อในของร่างกฎหมาย เมื่อไม่มีแนวคิดที่ชัดเจน และมีการให้เปิด open-end (ปลายเปิด) ไว้มากขนาดนี้  ทำให้มีโอกาสที่สุดท้ายจะได้สถานบันเทิงครบวงจรที่ไม่ตรงปก เหมือนกับ ขึ้นต้นเป็นสิงคโปร์ แต่สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นแบบปอยเปตก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่น่ากังวล

..นอกจากไม่ตรงปกแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากังวลก็คือ ความไม่มีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ คืออาจบอกได้ว่าการเสนอร่างพรบ.ฯดังกล่าว มันเหมือนกับการ”ตีเช็คเปล่า”ให้กับคณะบุคคล ที่ก็คือ คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ที่เราเรียกกันว่า Super Board

 เพราะSuper Board คือผู้กำหนดทิศทางทั้งหมด เช่นจะให้เปิดสถานบันเทิงครบวงจรที่ใดบ้าง -แล้วจุดที่เปิด จะให้มีขนาดแบบไหน ใหญ่หรือเล็กแค่ไหน รวมถึงจะให้ใครได้รับใบอนุญาต ทั้งหมดล้วนเป็นอำนาจของ Super Board เพราะกฎหมายไม่ได้เขียนให้ใช้ระบบประมูลในการจะเปิดสถานบันเทิงครบวงจร แต่ให้ใช้ระบบ”ใบอนุญาต” จึงเป็นการให้อำนาจไว้กับ Super Board  เยอะมาก ถือเป็นการตีเช็คเปล่า ให้ Super Board  ใช้อำนาจได้เต็มที่ว่าจะชี้เป็นชี้ตาย สถานบันเทิงครบวงจร ให้ออกมาเป็นอย่างไร

..ในตัวร่างกฎหมาย ที่จะให้เปิดสถานบันเทิงครบวงจร แต่ก็เหมือนกับคำท้วงติงของคณะกรรมการกฤษฎีกา คือ เหมือนกับจริงๆ แล้วเป็นการให้ทำกาสิโน แต่เลือกมาใช้คำว่า สถานบันเทิงครบวงจรให้เป็นคำคลุม เพราะจริง ๆตัวร่างกฎหมาย เขียนไว้ ซึ่งหากผมตีความไม่ผิด คือเขียนว่าสถานบันเทิงครบวงจรให้ประกอบด้วยกิจการต่างๆ อย่างน้อยสี่กิจการ จากบัญชีแนบท้ายร่างพรบ.ฯที่มีสิบกิจการ รวมกับกาสิโนอีกหนึ่งรายการ นั่นหมายความว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มันคือ”กาสิโนบวกสี่” ก็คือสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนเป็นศูนย์กลางหลัก ก็เหมือนอย่างที่กฤษฎีกาทักท้วงคือ ร่างพรบ.ฉบับนี้ ควรเป็นร่างพรบ.ว่าด้วยเรื่องกาสิโน ไม่ใช่ร่างกฎหมายว่าด้วยสถานบันเทิงครบวงจร และเนื้อหาหลักของร่างกฎหมาย ก็พูดถึงกาสิโน แทบจะเป็นส่วนใหญ่

 มันจึงเป็นการตีเช็คเปล่า ให้กับ Super Board  ได้มีอำนาจในการกำหนดทั้งหมดเกี่ยวกับสถานบันเทิงครบวงจร แม้กระทั่งเรื่องอัตราภาษี ที่พบว่าในร่างพรบ.ฯดังกล่าว ก็ไม่ได้มีการเขียนไว้อย่างชัดเจน พบว่ามีการพูดถึงน้อยมาก มีเขียนไว้แค่ 1-2 จุดเท่านั้น ที่เขียนไว้ว่า จะเก็บภาษีเท่าใด ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ Super Board จะเป็นผู้เสนอแนะให้แก่รัฐบาล -คณะรัฐมนตรี ซึ่งประธานในที่ประชุมที่นั่งหัวโต๊ะของสองชุดนี้คือ Super Board  กับคณะรัฐมนตรี ก็คือ”นายกรัฐมนตรี” เพราะ Super Board  มีนายกฯ เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีอีกประมาณ 5-6 คน ร่วมเป็นกรรมการตามตำแหน่งใน Super Board ส่วนกรรมการที่เหลือก็เป็นข้าราชการประจำ และผู้ทรงคุณวุฒิ

ทำให้ Super Board  ก็เหมือนกับเป็นครม.ชุดเล็กที่จะเสนอความเห็นต่อครม.ชุดใหญ่คือคณะรัฐมนตรี ที่ถึงตอนนี้ยังไม่เห็นความชัดเจนเลยว่าประเทศชาติจะได้ประโยชน์จากเรื่องสถานบันเทิงครบวงจรแค่ไหน

…ที่นายกรัฐมนตรีหรือรมช.คลัง(จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์)ให้สัมภาษณ์หลังครม.เห็นชอบร่างพรบ.ดังกล่าว ที่บอกว่าประเทศจะมีรายได้-ภาษีต่างๆ จากการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ต่างๆ คิดจากฐานอะไร เพราะการอ้างเรื่องตัวเลขภาษี ก็เป็นการอ้างโดยที่ไทยยังไม่เคยมีสถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนว่าตกลงแล้วประเทศไทยจะมีกาสิโนกี่แห่ง แต่กลับอ้างตัวเลขรายได้ต่างๆ ออกมาแล้ว จึงเป็นการอ้างตัวเลขแบบลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไปของตัวเลขรายได้ต่างๆ ที่รัฐบาลอ้างว่ามาจากฐานคิดจากอะไร

“เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน”กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับประชาชน ก็คือการดูแลผลกระทบทางสังคม  เพราะท่าทีของรัฐบาลพยายามจะชวนให้ประชาชนมองด้านเดียวคือมองแต่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน แต่ด้านผลกระทบทางสังคม รัฐบาลพูดถึงน้อยมาก ดูได้จากตัวกฎหมายที่ให้มีคณะกรรมการจากฝั่งเดียวคือคณะกรรมการกำกับกิจการสถานบันเทิงครบวงจร แต่กลับไม่มีคณะกรรมการที่จะมาดูแลผลกระทบ-ปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดกาสิโน ไม่มีการระบุว่าจะให้หน่วยงานใดของรัฐดูแล-รับผิดชอบ

ที่สำคัญแนวคิดการให้มีกองทุนฯ ที่จะนำรายได้จากกิจการสถานบันเทิงครบวงจรมาทำให้สังคมแข็งแรงมากขึ้น พบว่าในร่างของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ ของสภาฯ ให้มีการตั้งกองทุนลดผลกระทบจากการเปิดกาสิโน แต่ในร่างของรัฐบาลที่นำไปรับฟังความคิดเห็นพบว่า”ถูกตัดทิ้ง”ออกไปหมด

แสดงให้เห็นว่า ร่างกฎหมายไม่ให้ความสำคัญในการดูแลเรื่องผลกระทบ ทำให้เป็นที่กังวลว่า ผู้มีปัญหาจากการเล่นการพนันอาจเกิดมีมากขึ้น

เพราะการจะให้คนไทยเข้าไปเล่นในกาสิโน พบว่ามีการเขียนไว้ว่าอัตราการเข้าเล่นในกาสิโนของคนในประเทศ มีค่าเข้าห้าพันบาทต่อครั้ง แต่ใส้ในของร่างกฎหมายก็เขียนไว้ว่า “ให้เป็นการกำหนดของคณะกรรมการบริหาร”หรือ Super board ที่เก็บได้ไม่เกินห้าพันบาท ก็เป็นการล็อคขั้นสูงไม่ได้ล็อคขั้นต่ำ คือจะเก็บน้อยกว่าห้าพันบาทก็ได้ กฎหมายให้สิทธิ์ super board ตัดสินใจ

หากมีการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในไทยและไม่มีหน่วยงานที่กำกับดูแลที่ดีพอ เพราะการบังคับใช้กฎหมายในไทยยังมีปัญหาอยู่มาก ทำให้มีความเป็นไปได้สูง ที่กาสิโนในประเทศไทยจะถูกใช้เป็นสถานที่ฟอกเงินของอาชญากรรมต่างๆ รวมถึงแก็งค์อาชญากรรมต่างๆ ก็อาจจะเข้ามาอยู่เบื้องหลังกาสิโนในประเทศไทย

ทำให้อาจเป็นไปได้ว่าในอนาคต หากมาตรฐานหย่อนยานลง ก็อาจไม่เก็บสูงสุด แล้วให้เก็บต่ำๆไว้ ก็ลดค่าเข้ากาสิโนน้อยลงเรื่อยๆ หรือถึงขั้นไม่เก็บเลย ให้คนไทยเข้าโดยอิสระ ก็อาจทำให้เกิดมีคนไทยเข้าไปเล่นในกาสิโนมากขึ้น จนนำมาซึ่งปัญหา-ผลกระทบตามมามากมาย โดยรัฐบาลก็ไม่ได้มีการเตรียมพร้อมในเรื่องการให้มีหน่วยงานรัฐคอยเตรียมการสำหรับปัญหา-ผลกระทบที่จะตามมา เป็นเรื่องหนึ่งที่น่ากังวล

อีกเรื่องหนึ่งที่แทบไม่มีการพูดถึงเลยคือเรื่อง”อาชญากรรม-การฟอกเงิน” ที่เป็นปัญหาใหญ่มากที่โลกกังวล คือกาสิโนถูกใช้เป็นพื้นที่การฟอกเงินของอาชญากรรม ที่เราก็จะพบเห็นข่าวกลุ่มอาชญากรรมเข้ามาป้วนเปี้ยนในประเทศไทย เหมือนใช้บ้านเราเป็นทางผ่าน ทำให้หากมีการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในไทยและไม่มีหน่วยงานที่กำกับดูแลที่ดีพอ เพราะการบังคับใช้กฎหมายในไทยยังมีปัญหาอยู่มาก ก็ทำให้มีความเป็นไปได้สูง ที่กาสิโนในประเทศไทยจะถูกใช้เป็นสถานที่ฟอกเงินของอาชญากรรมต่างๆ รวมถึงแก็งค์อาชญากรรมต่างๆ ก็อาจจะเข้ามาอยู่เบื้องหลังกาสิโนในประเทศไทย ที่เป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ในร่างพรบ.ฯดังกล่าว กลับมีเรื่องการป้องกันการฟอกเงินแค่ 1-2 จุด คือให้มีเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอยู่ใน Super board แต่ไม่มีหมวดว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรม-การฟอกเงินเขียนไว้อย่างชัดเจนในร่างพรบ.ฯดังกล่าว

ออกใบอนุญาตเปิดกาสิโน พบช่องส่อ-เอื้อทุนใหญ่

“ธนากร-เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน“กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ หากดูจากร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ดังกล่าวพบว่ายังเขียนไว้เพื่อเปิดช่องให้สามารถ”เอื้อกลุ่มทุน”ในการเข้ามาขอรับใบอนุญาตทำธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ ในประเทศไทย อย่างเช่น เรื่องของเงื่อนไขของบริษัทที่จะได้รับใบอนุญาตให้ทำเอ็นเตอร์เทนเมนคอมเพล็กซ์ คือต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ที่มีทุนชำระแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ที่ก็อาจเป็นบริษัทที่มีอยู่แล้ว เช่นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็ไปจดทะเบียนเพิ่มการประกอบกิจการว่าทำกิจการด้านสถานบันเทิงครบวงจร แล้วก็อาจไปจับมือร่วมกับบริษัทต่างชาติที่เป็นกลุ่มทุนที่ทำกิจการกาสิโนในต่างประเทศ เพราะกฎหมายก็มีข้อยกเว้นเรื่องการประกอบธุรกิจของกลุ่มคนต่างด้าว เช่นไม่จำเป็นต้องมีถิ่นพำนักในประเทศไทยหรือว่าไม่จำเป็นต้องถือหุ้นถึง1ใน 4

..ทำให้เป็นไปได้ว่า ทุนกาสิโนก็จะมาจับมือกับทุนไทย ที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตั้งบริษัทใหม่ แล้วต้องมีทุนหมื่นล้านบาท ทำให้เปิดได้ไม่ยากเท่าไหร่ และก็อาจจะมี”ทุนการเมือง”เข้ามาจับมืออีกหนึ่งกลุ่ม

“กลายเป็น”ทุนสามฝ่าย”ในการทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คือ”ทุนไทย-ทุนต่างชาติ-ทุนกลุ่มการเมือง” โดยผลการศึกษาของกลุ่มนักวิชาการ พบว่าโมเดลนี้ เกิดขึ้นแทบทุกประเทศในประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างกาสิโนตามชายแดนประเทศไทย ก็พบว่า กลุ่มที่ทำกาสิโนก็จะมีสามกลุ่มทุนหลักคือ กลุ่มทุนการเมืองในประเทศ-กลุ่มทุนต่างชาติที่ทำกาสิโนและกลุ่มทุนธุรกิจท้องถิ่น ที่คือสูตรสำเร็จของการเปิดกาสิโน”

-น่าเป็นห่วงหรือไม่ ที่อาจเกิดทุนสีเทาต่างๆ เข้ามา หากมีการเปิดกาสิโนในไทย?

ก็เป็นไปได้ เพราะทุนกาสิโนมีหลายกลุ่มและหลายขนาด และจริงๆ พบว่าเกือบทั้งโลก ดีเอ็นเอของกิจการด้านการพนัน มันไม่พ้นต้องมีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม แม้ต่อให้เป็นประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด อย่างที่สหรัฐ ฯ ก็มีเคสศึกษาหลายกรณี ว่ากลุ่มมาเฟีย กลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ไปลงทุนเปิดกาสิโนเพื่อใช้เป็นที่ฟอกเงินของแก็งค์มาเฟีย และรอบๆ ประเทศเราก็ชัดเจนว่า กาสิโนตามแนวชายแดน โดยเฉพาะแถบลุ่มแม่น้ำโขง ก็มักจะมีธุรกิจสีเทาอยู่เบื้องหลัง อย่างที่เห็นปรากฏเป็นข่าวมากมาย จึงทำให้มีความเป็นไปได้สูงตามที่ถาม ดังนั้นหากถามว่า กฎหมายที่จะออกมาเอื้อกลุ่มทุนหรือไม่ ก็จะพบว่าไม่ได้สร้างอุปสรรคให้กับกลุ่มทุน ในการจะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการกิจการสถานบันเทิงครบวงจร และยิ่งเรื่องภาษี ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะเก็บภาษีเท่าใด

อีกประเด็นที่น่ากังวลคือการให้ผู้ประกอบกิจการกาสิโน สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้เข้าไปเล่นพนันในกาสิโนได้ ซึ่งหลายประเทศเรื่องนี้ เขาจะกำหนดไว้เป็นการเฉพาะว่าต้องให้กับผู้เข้าไปในกาสิโนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี พวกวีไอพี แต่ร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน ใช้วิธีเขียนไว้กว้างๆ เปิดช่องไว้เยอะให้ กิจการกาสิโนปล่อยสินเชื่อกับผู้เข้าไปเล่นพนันได้ ก็ไม่แน่ คณะกรรมการ Super board ก็อาจให้กาสิโนให้สินเชื่อกับคนที่เข้าไปเล่นพนันที่เป็นใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีฐานะการเงินดีตลอดไป และให้เป็นหนี้พนันถูกกฎหมาย ที่จะย้อนแย้งกับพรบ.การพนันฯ พ.ศ. 2478 ที่ให้หนี้การพนันเป็นหนี้ที่ผิดกฎหมาย ติดตามทวงถามไม่ได้ แต่ร่างพรบ.ฯดังกล่าวทำให้หนี้ในกาสิโนมีสิทธิ์มากกว่าพรบ.การพนันฯ  

-ฝ่ายรัฐบาลอ้างเหตุผลต่างๆ ในการออกกฎหมาย ทำเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เช่น พื้นที่ทำกาสิโนใช้แค่สิบเปอร์เซ็นต์ หรือการยกสิงคโปร์โมเดลว่าพอสิงคโปร์ให้มีกาสิโนก็ทำให้จีดีพีประเทศเติบโตขึ้น เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นหรือไม่ ที่รัฐบาลพยายามจะบอกว่าต้องให้มีการเปิดกาสิโน?

ด้วยความที่ตัวเลขที่รัฐบาลอ้าง เป็นตัวเลขลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจน และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เกิดในต่างประเทศ ไม่ได้หมายถึงว่าจะเกิดในบ้านเรา รัฐบาลจึงควรศึกษาให้ดีก่อน เพราะอย่างในรายงานผลการศึกษาการเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ของคณะกรรมาธิการฯของสภาฯชุดที่แล้ว ทางกมธ.ฯ ชุดดังกล่าวมีการให้ข้อสังเกตุทิ้งท้ายไว้ประมาณสิบกว่าข้อ

พบว่า มีข้อหนึ่งคือให้ศึกษาทั้งเรื่องทางเศรษฐกิจ สังคมก่อน  ที่ก็คือ ให้ศึกษาและคิดก่อนที่จะมาตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ ก่อนตัดสินใจ แต่รัฐบาลก็มองข้าม ทำให้เราก็เชื่อมั่นไม่ได้ว่า ตัวเลขที่รัฐบาลอ้างเป็นอย่างไร เพราะอย่างที่บอกว่าใช้พื้นที่ทำกาสิโนแค่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่จะพบว่าที่สิงคโปร์ใช้พื้นที่ทำกาสิโนแค่ของ มีIntegrated Resort ที่สิงคโปร์ทำ แต่เราบอกจะใช้พื้นที่แค่สิบเปอร์เซ็นต์ทำกาสิโน ก็เท่ากับกาสิโนของไทยเราจะใหญ่กว่าสิงคโปร์ห้าเท่า ถ้าเทียบสัดส่วนพื้นที่

-การเปิดเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ การให้ใบอนุญาตเปิดกาสิโน คิดว่าจะเกิดการทุจริต การเรียกรับเงินใต้โต๊ะ ในการให้ใบอนุญาตเปิดกาสิโน เพราะไม่ใช่การประมูลหรือการกำหนดพื้นที่จังหวัดให้เปิดกาสิโนได้ จะเกิดการทุจริตได้หรือไม่?

ก็อาจเป็นไปได้ กับการที่จะไม่มี”ธรรมาภิบาล”เพราะอำนาจการตัดสินใจ ที่อำนาจไปอยู่ที่คณะบุคคลคณะเดียว คือ Super Board ซึ่งจากที่มีอยู่ 18 คน พบว่ามาจากฝ่ายการเมืองก็เกือบ7-8 คน แล้วก็มีผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ก็มาจากการแต่งตั้งของนายกรัฐมนตรีอีกต่างหากทำให้กรรมการใน Super Board ร่วม 14-15 คนก็มาจากฝ่ายการเมืองเกือบหมดแล้ว มีข้าราชการประจำแค่สามคนคือ เลขาธิการสำนักงานปปง.-ผบ.ตร.และเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ที่ก็คงไม่ค้านฝ่ายการเมืองอยู่แล้ว

ทำให้Super Board ก็ไม่มีความเป็นธรรมาภิบาล เพราะมาจากกลุ่มคนที่มีความคิดเดียวกันหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลของคนที่มีความคิดเดียวกันเป็นหลัก ก็ทำให้ยากในการที่จะถูกตรวจสอบ และยิ่งใช้ระบบให้ใบอนุญาต ไม่ได้ใช้ระบบประมูล ทำให้ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการเสนออะไรที่เป็นประโยชน์กับประเทศ

นอกจากนี้ พบว่าในร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ ของรัฐบาลมีการตัดข้อเสนอในรายงานของคณะกรรมาธิการฯของสภาฯ ที่เสนอไว้ว่าหากจะมีการตั้งสถานบันเทิงครบวงจรที่ใด ต้องมีการไปจัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียง ปรากฏว่าในร่างของรัฐบาลมีการตัดเรื่องนี้ออกไป มันยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีธรรมาภิบาลของร่างพรบ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ

-คิดว่า โครงสร้างของ Super Board ที่เหมาะสม   ควรมีลักษณะอย่างไร ควรมีกรรมการจากฝ่ายไหนบ้าง สัดส่วนเท่าใด?

จริงๆ ผมก็คิดแบบที่คณะกรรมการกฤษฎีกาให้คำแนะนำต่อรัฐบาลคือ การมาออกกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรฯฉบับนี้ ไม่ชอบธรรม เพราะเจตนาของเขาจริงๆ ก็คือ ต้องการเปิดกาสิโนที่คือสถานที่เล่นการพนันขนาดใหญ่ เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเล่นการพนัน เรื่องนี้จึงต้องไปอยู่ภายใต้พรบ.การพนัน ฯ ไม่ใช่มาใช้วิธีออกกฎหมายพิเศษของตัวเอง

ก่อนหน้านี้ รมช.คลัง(จุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์) เคยบอกว่า กฎหมายฉบับนี้จะมีสถานะคล้ายๆ กับกฎหมายให้มีการจัดตั้งEEC คือเป็นกฎหมายพิเศษ ที่จะทำให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งหลายประเทศก็ใช้วิธีแบบนี้โดยเฉพาะประเทศรอบบ้านเราคือทำเป็นแบบเขตเศรษฐกิจพิเศษ แล้วก็ใช้กฎหมายพิเศษ ซึ่งเป็นวิธีการเลาะช่องออกกฎหมายโดยไม่ยอมไปแก้กฎหมายหลักเพราะคิดว่าจะเสียเวลา ดังนั้นเรื่องนี้จริงๆ ต้องไปที่การเสนอแก้ไขพรบ.การพนันฯ ประเทศไทยจึงควรต้องปฏิรูปความคิดว่าบอร์ดต่างๆ โดยเฉพาะบอร์ดที่ทำหน้าที่แบบเรกูเลเตอร์ (Regulator) ต้องมีความเป็นอิสระจากฝายการเมืองให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ใช้ความผิดแบบพิมพ์นิยมว่า กรรมการอะไรก็ต้องให้นายกฯเป็นประธาน ตรงนี้ต้องปฏิรูปแนวคิดมากพอสมควร เพื่อให้บอร์ดมีความโปร่งใส เชื่อมั่นประสิทธิภาพได้

-เมื่อเป็นร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ก็ทำให้มีโอกาสที่จะผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แล้วส่งไปวุฒิสภา คิดว่าโอกาสร่างพรบ.สถานบันเทิงฯ จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่?

โอกาสจะผ่านรัฐสภาก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ประชาชนก็ต้องส่งเสียง เพราะพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ หากย้อนไปดูตอนหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้นำเรื่องนี้(การเปิดกาสิโน)ไปคุยกับประชาชนหรือไม่ ก็พบว่าไม่มี

ประชาชนไม่ได้เลือกพวกเขามาด้วยนโยบายนี้ จึงเป็นความไม่ชอบธรรม เมื่อเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้วส.ส.ของพรรคจะไปร่วมโหวตเห็นชอบ พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องตอบคำถามประชาชนด้วยว่า ตอนหาเสียงเลือกตั้งไม่ได้พูด แต่พอได้เป็นส.ส. ได้เป็นรัฐบาล กลับมาเห็นชอบกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวงเกี่ยวกับด้านสังคม ต้องตอบประชาชนให้ได้ เช่นดูแลกระทรวงพัฒนาสังคมฯ แล้วพรรคก็หาเสียงชัดเจนว่าห่วงใยสังคม ไม่เห็นด้วยกับบ่อนเสรี แล้วมาอยู่ในรัฐบาล ก็ไปร่วมโหวตกับเขาหรือ  รวมถึงบางพรรคการเมืองที่ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ -กระทรวงอุดมศึกษาและกระทรวงแรงงาน ที่เป็นกลุ่มเปราะบางทั้งหมด แล้วก็เคยคัดค้านมาแล้วด้วยว่าไม่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ แต่พอถึงเวลาโหวตร่างพรบ.แล้วส.ส.ในพรรคมาร่วมโหวตให้ผ่านสภาฯ แล้วจะไปตอบประชาชนอย่างไร

รวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ควรทำหน้าที่ในการค้านเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ถึงแม้ฝ่ายค้านจะเห็นด้วยกับแนวทางเสรีนิยม เห็นด้วยกับการมีบ่อนพนันเสรี แต่ถ้าฝ่ายค้านไม่ค้าน เท่ากับเห็นด้วยกับกฎหมายรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน ก็ต้องมีจุดยืนของตัวเองว่ามีอะไรที่ไม่เห็นด้วยกับร่างพรบ.ฉบับนี้ ไม่ใช่ทำแค่พอเป็นพิธีกรรมคือยื่นร่างพรบ.ลักษณะเดียวกัน ประกบกับร่างของรัฐบาลเสนอเข้าสภาฯ ที่โหวตยังไงก็แพ้ ที่อาจเป็นเพียงแค่การไปต่อรองให้มีการแก้ไขบางมาตราในชั้นกรรมาธิการฯ ถ้าแบบนี้ ก็เป็นการไม่ซื่อตรงกับที่เคยหาเสียงกับประชาชน

เพราะฉะนั้นประชาชนต้องส่งเสียงว่ามันมีความไม่ชอบธรรมที่พรรคการเมืองหลายพรรค ที่เป็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลในปัจจุบัน ตอนหาเสียงเลือกตั้งไม่ได้หาเสียงเรื่องนี้ไว้กับประชาชนเลย แต่พอเข้ามามีอำนาจแล้วกลับใช้อำนาจทำในเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงต่อสังคม 

-หลังจากนี้ ในส่วนของภาคประชาสังคม นักวิชาการ เอ็นจีโอ จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรในช่วงต่อจากนี้ ในช่วงที่จะมีการส่งร่างกฎหมายเข้าสภาฯ ในอนาคต ที่ยังมีเวลาอีกหลายเดือน?

มีการสำรวจที่เป็นงานวิชาการที่น่าเชื่อถือ ของศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน สำรวจมาห้าครั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา ทุกครั้งพบว่าคนไทยมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ตอบคำถามที่ว่า”เห็นด้วยหรือไม่ที่ประเทศไทยจะมีกาสิโนถูกกฎหมาย” พบว่าเกินกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในการสำรวจทุกครั้งในรอบสิบปีที่ผ่านมา ไม่เห็นด้วย จะมีคนไทยอยู่ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เห็นด้วยกับการมีกาสิโนถูกกฎหมาย แต่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่เห็นด้วย มีกลางๆ ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่าไม่แน่ใจ มันก็เป็นการบอกแล้วว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้มีการเปิดกาสิโน

ตอนนี้จึงถึงเวลาแล้วที่คนไทยควรออกมาช่วยกันส่งเสียงว่าไม่เห็นด้วยกับการมีกาสิโน ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ ภาคประชาสังคม ได้มีการชวนประชาชนให้ร่วมกันลงชื่อ ก็อยากให้ประชาชนมาร่วมกันลงชื่อให้ได้มากที่สุดในช่วงนี้ 3-4 เดือนที่เราพอมีเวลาส่งเสียงไปถึงรัฐบาลและรัฐสภา

-หากสุดท้ายรัฐบาลจะผลักดันให้มีการเปิดกาสิโน ให้ได้ ให้ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรออกมาให้ได้ ดูแล้วจะเป็นอย่างไร หากรัฐบาลจะเดินหน้าเพราะมั่นใจเสียงข้างมากในสภาฯ ?

อันนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ก็คงมีหลายฝ่ายที่เขาคงไม่ยอมอยู่เฉย ก็อาจมีการชวนให้ออกมาแสดงแอ็กชั่น  อะไรบางอย่าง ที่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้อาจเป็นเรื่องจุดชนวนของความวุ่นวายทางการเมืองอะไรหรือไม่ ยิ่งหากรัฐบาลตอบอะไรได้ไม่ชัด รัฐบาลให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนไม่ได้ว่า หากเปิดแล้วจะดูแลปัญหาต่างๆ ได้ดีจริง ผลประโยชน์จะไม่เข้าพกเข้าห่อใคร ไม่มีวาระซ่อนเร้นของฝ่ายการเมืองอะไรหรือไม่ อันนี้เราก็กังวลว่า อาจนำไปสู่ความวุ่นวายบางอย่างหรือไม่ จากกฎหมายฉบับนี้ โดยที่รัฐบาลเองก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้อน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าไม่รอบคอบมากเท่าไหร่ ความละเอียดอ่อนก็อาจนำไปสู่ปัญหาได้มาก 

โดยวรพล กิตติรัตวรางกูร

The post ตีแสกหน้า กฎหมายกาสิโน เอื้อทุนการเมือง ร่วมวงแบ่งเค้ก เรียกเงินใต้โต๊ะ แลกใบอนุญาต appeared first on .

You may also like...