นักวิชาการชม ‘อิ๊งค์’ กล้าหาญสปีกอิงลิชบนเวที Forbes แต่ยังตอบแบบงูๆปลาๆ-ใช้ภาษาไม่ตรง

30 พ.ย.2567 – รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่านับเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งยวดของนายกรัฐมนตรี คุณแพทองธาร ชินวัตร ที่ยอมไปขึ้นเวทีให้สัมภาษณ์แบบสดๆตัวต่อตัวกับพิธีกร ซึ่งเป็นลูกสาวของ Steve Forbes ในงาน “Forbes Global CEO Conference : New Paradigm” ซึ่งจัดขึ้นในประเทศไทย เพราะดูเหมือนว่าคุณแพทองธารจะไม่มีความพร้อมด้วยประการทั้งปวง

หากฟังผ่านๆ หลายคนอาจจะบอกว่า นายกรัฐมนตรีตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้ทุกคำถาม ทั้งยังออกเสียงสำเนียงก็คล้ายฝรั่ง จะว่าอังกฤษก็ไม่เชิงจะว่าอเมริกันก็ไม่ใช่ แต่หากตั้งใจฟังกันจริงๆ สำหรับผู้ที่ฟังภาษาอังกฤษได้ดีและพูดได้ดี ก็จะพบว่า นายกรัฐมนตรีตอบตรงคำถามบ้างไม่ตรงบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ตรง ที่ตรงคำถาม เนื้อหาที่ตอบก็แสดงถึงความไม่เข้าใจในเนื้อหาที่ตอบอย่างถ่องแท้ ที่ไม่ตรงคำถามบางครั้งก็ออกทะเลไปเลย

นอกจากตอบแบบงูๆปลาๆแล้ว ภาษาที่ใช้ คำที่ใช้ เป็นภาษาที่เหมือนพูดกับเพื่อน ใช้คำว่า “like” เป็นคำคั่นกลางนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่ภาษาที่จะออกมาพูดอย่างเป็นทางการให้ CEO ทั่วโลกฟัง และยังพูดไม่ค่อยเป็นประโยค บางคำก็ stress ผิดที่ แม้จะเรียกว่าเป็น broken English ไม่ได้ แต่ก็นับว่าใกล้เคียงอย่างยิ่ง

ตัวอย่างเช่น คำถามของพิธีกรซึ่งทำการบ้านมาดีว่า ได้ทราบว่ารัฐบาลนี้ได้มีแผนเกี่ยวกับเศรษฐกิจ 10 ข้อ ที่จะเปลี่ยนแปลงหรือ transform ภาคเศรษฐกิจหลายๆภาค ขอให้นายกรัฐมนตรีไล่เรียงให้ฟังสักหน่อย พิธีกรใช้คำว่า “walk us through” ซึ่งหมายความว่า ช่วยกล่าวถึงแผนทีละข้อให้เราฟัง “เรา” หมายถึงตัวพิธีกรเอง และบรรดา CEO ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่นั่งฟังอยู่ด้านล่างทั้งหมด นายกรัฐมนตรี ตอบว่า

“I understand that ..um..in a ..for the business investors they all want the stability, and growth, and ease of doing business, so I think it’s important to make sure that it’s gonna happen for sure. And..Iike.. I can give you an example of soft power I think that’s gonna help a lot ……… “

เขาถามถึง แผน 10 ข้อ ที่จะ transform ประเทศ นายกรัฐมนตรี คุณแพทองธาร ตอบว่า

“นักธุรกิจที่จะลงทุนต้องการความมีเสถียรภาพ และการเจริญเติบโต และความสะดวกในการทำธุรกิจ ดังนั้นดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นแน่นอน และก็ ดิฉันสามารถยกตัวอย่างของกรณี soft power ซึ่งจะช่วยอย่างมาก ………”

จากนั้นก็ไปพูดถึง soft power ยกเรื่องการขยายเวลาเทศกาลสงกรานต์ไปเกือบตลอดเดือนซะงั้น ทั้งนี้ไม่ได้พูดถึงแผน 10 ข้อที่พิธีกรถามเลยแม้แต่น้อย ซึ่งพิธีกรก็ดีใจหาย ไม่กลับมาถามย้ำเลยว่า ที่ขอให้ “walk us through” ยังไม่ได้ไล่เรียงเลยแม้แต่ข้อเดียว

เมื่อพิธีกรขอให้ลอง fast foward ไปข้างหน้า 5 ปี จากนโยบายต่างๆที่ทำในวันนี้ ใน 5 ปีข้างหน้าประเทศจะเป็นอย่างไรบ้าง คุณแพทองธาร แทนที่จะตอบโดยโยงกับนโยบายในวันนี้ว่าจะก่อให้เกิดผลอย่างไรอีก 5 ปีข้างหน้า กลับตอบว่า เรื่องการศึกษา ต้องการให้คนปรับตัวและเรียนรู้มากขึ้น เรียนภาษาต่างประเทศมากขึ้น และเราได้เริ่มเรื่องการศึกษาแล้ว และต้องการให้เกิดธุรกิจในอนาคต data center semi conductor หวังว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า เราจะสามารถให้ความมั่นใจต่อประชาชนได้ว่า การเมืองจะมีเสถียรภาพ ให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ในระยะยาว ไม่คิดว่าใน 5 ปี ประชาชนจะหนี (คุณแพทองธารใช้คำว่า escape) จากการมีรายได้ปานกลางได้

จากนั้นคุณแพทองธารพูดต่อ ซึ่งได้ถอดมาให้อ่านทุกคำดังนี้

“Actually we, the government plan for like the 10 years time and we have to make the root of it for even the government change the prime minister change but I just want the policy to stick to the country and to the people and all the benefits that can stay with the people as – as long as possible just like 30 baht policy that 20 years – 20 years ago until today we still have that policy but enhanced the policy something like that so that’s what, you know, because from my background I don’t want the benefit to just …. done when the government is done there’s something I just want to build to just make the root go deeper for Thailand so all the policy that I build it today I try to make it stay forever that’s what I plan to do and of course you will see for sure.”

จะเห็นว่า คุณแพทองธาร ใช้คำต่างๆอย่างแปลกปรเะหลาดมาก เช่น “make the root of it…” ซึ่งแปลไม่ได้ หรือข้อความว่า “…. I want the policy to stick to the country ..” แปลได้ว่า ต้องการให้นโยบายติดอยู่กับประเทศ ซึ่งไม่มีใครใช้คำนี้กัน หรือข้อความว่า “…. I don’t want the benefit to just ….done when the government is done.” เหล่านี้ล้วนเป็นการใช้คำที่ผิดที่ผิดทาง น่าสงสารพิธีกรเหมือนกันว่า เขาคงต้องพยายามทำความเข้าใจจนเหนื่อย แต่ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า พิธีกรคนนี้มีมารยาทดีมาก หรือได้รับคำสั่งว่า ห้ามทำให้นายกรัฐมนตรีที่เป็นสุภาพสตรีที่อายุน้อยที่สุดหน้าแตกเป็นอันขาด ก็ไม่ทราบ

ไม่ทราบว่า ทีมที่ปรึกษาไปทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ติวเข้มให้นายกรัฐมนตรี เพราะควรจะคาดเดาคำถามล้วงหน้าได้ไม่น้อยกว่า 80% ปล่อยให้ออกไปทำขายหน้าแบบนี้ได้อย่างไร ที่ว่าขายหน้าไม่ใช่เพราะภาษาอังกฤษไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะ การเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีอะไรในสมองมากกว่านี้ และต้องเตรียมตัวมาดีกว่านี้

You may also like...