บรรทัดฐานนักโทษวีไอพี
ใกล้เข้ามาอีกนิด…
มีความคืบหน้าคดี นักโทษเด็ดขาดคดีคอร์รัปชัน ที่ป่วยวิกฤต เป็นตายเท่ากัน ห่างหมอไม่ได้ ที่ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัด “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้าฟังคำสั่งในวันที่ ๓๐ เมษายน เวลา ๑๓.๐๐ น.
คดีนี้ยาวนานพอควรครับ เพราะ “ชาญชัย” ร้องไปแล้ว ๒ รอบ ศาลยกคำร้องทั้ง ๒ รอบ
คราวนี้เป็นครั้งที่ ๓ ครับ
รายละเอียดคำร้องตามนี้ครับ….
“…นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีหมายเลขดำที่ อม.๓/๒๕๕๑ หมายเลขแดงที่ อม.๔/๒๕๕๑ ว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๖๒ ขอให้ศาลไต่สวนกรณี กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ไม่จัดการให้เป็นไปตามหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยในคดีนี้
ซึ่งศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ๓ ปี คดีหมายเลขดำที่ อม.๑/๒๕๖๑ หมายเลขแดงที่ อม.๑๐/๒๕๕๒ ซึ่งศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ๒ ปี และคดีหมายเลขดำที่ อม.๙/๒๕๕๑ หมายเลขแดงที่ อม.๕/๒๕๕๑ ซึ่งศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก ๕ ปี โดยนับโทษจำคุกของจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ และคดีหมายเลขแดงที่ อม.๑๐/๒๕๕๒
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รับตัวจำเลยแล้วส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมิใช่เรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุก โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยต้องรักษาโรคใด และขณะที่ส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลตำรวจ
จำเลยยังไม่ได้รับโทษจำคุก ทั้งไม่ได้รับอนุญาตจากศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๙, ๘๙/๒ (๑) (๒) และมาตรา ๒๔๖ จึงไม่ชอบ และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. ๒๕๖๓ ลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งผู้ร้องเคยยื่นคำร้องต่อศาลนี้ เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ และเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง
ขอให้เพิกถอนคำสั่งเดิม และขอให้รับคำร้องไว้ไต่สวนและมีคำสั่งบังคับโทษจำคุกให้เป็นไปตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุด…”
มาดูว่า ๒ ครั้งแรกที่ยกคำร้องนั้น ศาลให้เหตุผลว่าอย่างไร
การยกคำร้องครั้งแรกศาลให้เหตุผลว่า “…เมื่อศาลออกหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สิ้นสุดไปแล้ว การบังคับโทษและอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ ปัญหาว่า เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฯ
จึงไม่ต้องไต่สวน!
ให้ยกคำร้อง…”
ครั้งที่ ๒ ศาลมีคำวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีไม่ปรากฏ มีการทุเลาการบังคับโทษ จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๖ และมาตราอื่นที่ผู้ร้องอ้างมา
จึงไม่ต้องไต่สวน
ให้ยกคำร้อง…”
การร้องในครั้งที่ ๓ “ชาญชัย” มองว่า คำวินิจฉัยของศาลให้ยกคำร้องข้างต้นนั้น เข้าใจได้ว่า อยู่ในอำนาจของศาลที่สามารถวินิจฉัยคดีได้ เพียงแต่ไม่มีการยื่นคำร้องขอทุเลาโทษจากเจ้าหน้าที่ และผู้เกี่ยวข้อง
นำมาสู่การยื่นครั้งใหม่ โดยรวบรวมพยานหลักฐาน และตัวผู้กระทำความผิดให้ครบถ้วน
ครั้งนี้คำสั่งศาลน่าจะแตกต่างออกไป
ครับ…ขมวดปมมาที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ช่วงที่ “ทักษิณ” นอนห้องวีไอพี ชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ มีความพยายามอย่างมากจากผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกรมราชทัณฑ์ หรือกระทรวงยุติธรรม ประสานเสียงว่า การรักษาตัวนอกเรือนจำถือเป็นการรับโทษ
แต่ก็มีข้อกฎหมายแย้งกับข้ออ้างดังกล่าว
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๖ การบังคับตามคำพิพากษา และค่าธรรมเนียม ในหมวด ๑ ของการบังคับตามคำพิพากษา มาตรา ๒๔๖ ระบุว่า
“เมื่อจำเลยสามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำ หรือ เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุก ร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้
๑.เมื่อจำเลยวิกลจริต
๒.เมื่อเกรงว่าจำเลยจะอันตรายถึงแก่ชีวิต ถ้าต้องจำคุก
๓.ถ้าจำเลยมีครรภ์
และ ๔.ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น…..”
กรณีของ “ทักษิณ” เข้าข่ายข้อ ๒
อย่าลืมนะครับวันที่ราชทัณฑ์ส่งตัว “ทักษิณ” ไปโรงพยาบาลตำรวจนั้น ข้ออ้างคือ
“…เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิต เห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อชีวิตจะมีการส่งตัวรักษาให้ทันท่วงที…”
หากกรมราชทัณฑ์ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา สิ่งแรกที่ต้องทำพร้อมกับการส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจคือ ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อน จนกว่า “ทักษิณ” จะหายป่วย
แต่กลับกลายเป็นว่าสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
กรมราชทัณฑ์ปล่อยให้ “ทักษิณ” รักษาตัวเกินกว่า ๑๒๐ วัน เกินระเบียบการรักษาตัวนอกโรงพยาบาล และให้นับวันการนอนห้องวีไอพี เป็นการรับโทษ
มีคนทำผิดขั้นตอนกฎหมาย
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ “ทักษิณ” ได้ประโยชน์
๓๐ เมษายน ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น
และจะเป็นบรรทัดฐานว่า นักโทษสามารถเลี่ยงโทษจำคุกได้ ด้วยการไปนอนในห้องวีไอพี.
The post บรรทัดฐานนักโทษวีไอพี appeared first on .