พล.ต.ต.อรุณ รองเลขาธิการป.ป.ช. รู้ทันสินบนปล้นชาติ
องค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อไปตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ขณะเดียวกัน องค์กรอิสระก็สามารถถูกตรวจสอบได้เพราะรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดกลไกในการตรวจสอบองค์กรอิสระเอาไว้ ซึ่งหากองค์กรใดทำไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามกรอบกฎหมาย หรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็เชื่อว่าจะต้องถูกสังคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการได้ คิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาตรงนี้
“ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น“คืออีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของสังคมไทย ซึ่งควรที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำให้วิกฤตการทุจริตคอรัปชั่นในประเทศไทยลดลงไป และหนึ่งในองค์กรสำคัญที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นก็คือ”สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ”(ป.ป.ช.)
โดย”พล.ต.ต.อรุณ อมรวิริยะกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.”กล่าวให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวไทยโพสต์ ถึงปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทยและบทบาทสำคัญของสำนักงานป.ป.ช.ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
-รูปแบบของการรับและการให้สินบนซึ่งมีหลายรูปแบบ และบางครั้งเป็นเรื่องใกล้ตัวจนไม่รู้ตัว โดยลักษณะที่ประชาชนร้องเรียนมามีลักษณะรูปแบบอย่างไรบ้าง?
คำว่า”สินบน“ความหมายตามพจนานุกรมให้คำจำกัดความว่า คือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ให้กับบุคคล เพื่อจูงใจให้ผู้นั้นกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม ซึ่งสินบน มีมานานในสังคมไทยตั้งแต่โบราณ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยังคงอยู่ เพียงแต่ เปลี่ยนแปลงรูปแบบไป
…สินบนมีหลายรูปแบบ และมีชื่อเรียกต่างๆ กันไปตามลักษณะของการกระทำ ยกตัวอย่างเช่น “เงินแป๊ะเจี๊ยะ หรือเงินกินเปล่า”ที่เป็นการเรียกรับเงินกันในวงการ”การศึกษา”โดยเฉพาะการเรียกรับเงินเพื่อจะแลกกับการให้บุตรหลานได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนดังๆ หรือห้องเรียนโปรแกรมพิเศษ เช่นคนที่สอบไม่ผ่าน ก็ได้มีโอกาสเข้าไปเรียน
สอง”เงินใต้โต๊ะ“ที่เป็นการแอบให้กัน ในลักษณะเป็นการให้เพื่อจูงใจเจ้าหน้าที่ ในการอนุมัติ อนุญาต ที่อาจไม่สามารถทำได้ แต่หากมีเงินใต้โต๊ะ ก็สามารถทำได้
สามคือ“ส่วย” เป็นเรื่องของการที่ผู้ประกอบธุรกิจ ผิดกฎหมายได้มีการตกลงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีหน้าที่เช่นรักษาความสงบเรียบร้อย หรือการจับกุม ดำเนินคดี คือให้ส่วย เพื่อให้เขาสามารถประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายต่อไปได้หรือได้รับความคุ้มครอง โดยมีการให้เป็นรายสัปดาห์ รายเดือน แล้วแต่จะตกลงกัน
และยังมี”สินน้ำใจ“ซึ่งมีความหมายใกล้เคียงกับ ซึ่งคนโดยทั่วไปจะเข้าใจว่า สินน้ำใจคือเรื่องของความมีน้ำใจ ไม่ผิดกฎหมาย สามารถให้ได้ ยกตัวอย่างสมมุติว่า ตำรวจมีการไปโบกรถ อยู่หน้าโรงเรียน อยู่หน้าตลาด ไปอำนวยความสะดวกให้ประชาชน แล้วพอช่วงปีใหม่ ก็มีการนำกระเช้าผลไม้หรือของกินนำไปให้ ซึ่งก็เป็นสินน้ำใจ เป็นเรื่องที่ดี เพราะตำรวจไม่ได้เรียกรับ แต่ให้เพราะมีสินน้ำใจ แต่บางกรณีอาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นสินบนได้ ถ้าหากว่าการให้ มีการจูงใจให้เจ้าพนักงานของรัฐ เขากระทำการหรือไม่กระทำการสิ่งใดโดยมิชอบ ก็จะกลายเป็น”สินบนไปในตัว”
นอกจากนี้ ก็ยังมี”ค่าดำเนินการ“คำว่าค่าดำเนินการเป็นการเรียกทรัพย์สินหรือเงินทอง ที่นอกเหนือจากสิ่งที่กฎหมายกำหนด เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ ช่วยดำเนินการในเรื่องการขออนุมัติ ขออนุญาต ที่เป็นเรื่องซึ่งต้องใช้ดุลยพินิจว่าจะให้หรือไม่ให้ โดยหากมี”ค่าดำเนินการ”เข้ามา เขาจะดำเนินการให้ อันนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง และจะมีอีกคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกันคือ”ค่าอำนวยความสะดวก“ที่เป็นการเรียกค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ เพื่อเหมือนกับจะอำนวยความสะดวกให้เกิดความรวดเร็ว จริงๆ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ใช้ดุลยพินิจและเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ ต้องทำให้อยู่แล้วเพียงแต่ว่าหากมีค่าอำนวยความสะดวก ก็จะเกิดความรวดเร็ว ได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งก็ยังมี”ค่าน้ำร้อน-น้ำชา“คำนี้จะเป็นเหมือนกับ เป็นการเรียกในส่วนที่เกินกว่าค่าธรรมเนียม เช่นไปติดต่อส่วนราชการแห่งหนึ่ง แล้วเขามีค่าธรรมเนียมเช่น ห้าร้อยบาท แต่มีการมาขอเป็นหกร้อยบาท คือมีค่าน้ำร้อนน้ำชาติดมาอีกหนึ่งร้อยบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาต้องทำให้เราอยู่แล้ว แต่ขอค่าน้ำร้อนน้ำชาติดเข้ามา รวมถึง”ค่าหัวคิว“ซึ่งเป็นเรื่องของการที่ เจ้าพนักงานของรัฐได้จัดสรรเป็นงบประมาณ หรือมีประชาชนกู้เงินมาที่กองทุนฯ แล้วเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ขอว่า หากผมจะอนุมัติยอดเงินกู้ที่ขอมา ก็ขอยอดเงินห้าเปอร์เซ็นต์ หรือเจ็ดเปอร์เซ็นต์ ก็จะหักหัวคิวออกมา ซึ่งไม่ใช่เงินที่ประชาชนนำเงินของตัวเองมาจ่ายให้แต่หักหัวคิวจากยอดเงินที่ตัวเองจะได้รับ
และยังมีเรื่อง“เงินทอน”ซึ่งในการซื้อขายสินค้า มันคือเงินที่เป็นส่วนต่าง ที่ผู้จ่ายมีการจ่ายให้ แล้วมันมีส่วนเกินที่ต้องทอนกลับคืนมา เป็นกรณีที่สมมุติ หน่วยงานของรัฐมีการจัดสรรงบประมาณแล้วก็มีข้อตกลงกันว่า หากจัดงบดังกล่าวไปให้ จะต้องมีการทอนเงินกลับมาให้ เช่นสมมุติมีงบอุดหนุนที่จะให้นำไปเป็นงบซ่อมแซม ปรับปรุงส่วนราชการ ให้งบไปสองล้านบาท แล้วมีการตกลงกันว่าจะต้องทอนเงินมาให้หนึ่งล้านบาท เท่ากับหน่วยงานจะได้งบไปแค่หนึ่งล้านบาท แล้วเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้เงินไปหนึ่งล้านบาท เรียกว่าเงินทอนกลับมา
และมีอีกคำหนึ่งที่ใกล้เคียงแต่ไม่เหมือนกันคือ“ค่ารับรอง”หรือของขวัญ เป็นเรื่องของนิติบุคคลไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือราชการ ที่จะมีค่ารับรองหรือของขวัญให้กับเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานในการติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นการรับรองในประเพณีใดก็ตาม ซึ่งมันก็หมิ่นเหม่และใกล้เคียงกับเรื่องสินบน เช่นหากเป็นการให้เพื่อจูงใจเจ้าหน้าที่ของรัฐให้กระทำการหรือไม่กระทำการสิ่งใดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็จะกลายเป็นสินบนทันที ทั้งหมดคือรูปแบบและลักษณะของสินบน
-ลักษณะที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็นการเรียกรับจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือว่ามีการเสนอให้เจ้าหน้าที่รัฐเอง สัดส่วนเป็นอย่างไร?
เรื่องผู้ให้กับผู้รับ ถ้าสมมุติว่ามีการไปเรียกแล้วเขาไม่ให้ ก็เหมือนกับปรบมือข้างเดียว ก็อาจไม่ดัง คนให้จึงมีส่วนสำคัญต้องไม่ลืมว่า ผู้ประกอบการที่เขาอยากได้งาน เขาก็พร้อมที่จะเสนอให้ เพราะหากเขาเสนอให้ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะได้โครงการ แต่ถ้าใครที่ไม่พร้อมให้ คิดว่าทำไม่ถูกต้อง โอกาสที่เขาจะได้งานก็ลดลง คนที่คิดที่จะให้เพื่อหวังได้โครงการก็มี เพราะฉะนั้น คนให้ก็มีส่วนสำคัญเพราะหากไปเสนอให้ เจ้าหน้าที่ซึ่งจิตใจไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวมได้ก็มีโอกาสหวั่นไหว ก็มีโอกาสจะรับได้ เพราะฉะนั้นคนให้ก็มีส่วนสำคัญ
-เมื่อมีทั้งการให้และการรับสินบน สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างไร?
เรื่องการให้สินบนหรือการทุจริตส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ หากดูความเสียหายก็มีทั้งระดับบุคคล -องค์กรและประเทศชาติ
ในส่วนความเสียหายระดับตัวบุคคล คนที่กระทำผิดทั้งเรียกรับและให้สินบน มีความผิดตามกฎหมาย ต้องถูกดำเนินคดี ส่วนระดับองค์กร ก็ต้องดูว่ามีองค์กรใดมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไปเรียกรับหรือกระทำความผิด ก็ต้องส่งผลต่อชื่อเสียงขององค์กร ต้องถูกตราหน้าว่าองค์กรนี้ มีเจ้าหน้าที่ทุจริต ชื่อเสียงก็เสียหาย ความเชื่อมั่น ความเชื่อถือต่อองค์กรก็ลดลง ส่งผลต่อความโปร่งใสในการบริหารงานของเขา(องค์กร) นอกจากนี้ก็ส่งผลต่องบประมาณ ที่ประชาชนควรจะได้รับ ก็ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งบประมาณ งบประมาณก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยกตัวอย่างเช่น งบประมาณที่ส่งลงไปในท้องถิ่น เพื่อไปสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภค ถนนหนทาง อาคารต่างๆ ถ้าถูกเรียกสินบนไปสักยี่สิบเปอร์เซ็นต์ สามสิบเปอร์เซ็นต์ ก็จะเหลืองบแค่เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อนำงบดังกล่าวไปทำการก่อสร้าง ทำให้งบได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สาธารณูปโภคต่างๆ ก็จะไม่มีคุณภาพ เกิดความเสียหาย
ส่วนระดับประเทศชาติ เมื่อเกิดเหตุแล้ว ประเทศชาติก็อาจเสียหาย ภาพลักษณ์ไม่ดี ความเชื่อมั่่นต่อนักลงทุนและนักธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ เขาก็จะหยุดทันที หากสังเกตุดูจากภาพสะท้อนที่เรามองก็คือ คะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต CPI (องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ -Transparency International หรือ TI เป็นผู้ประกาศคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต Corruption Perceptions Index: CPI) ซึ่งจะมีการประเมินสำรวจทุกปี โดยปีที่ผ่านมา 2567 ก็ได้ประเมินคะแนนของประเทศไทย ซึ่งได้ 34 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน อยู่ในลำดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก โดยหากเทียบกับปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าคะแนนที่เราได้คะแนนลดลง เพราะปี 2565 ประเทศไทยได้ 36 คะแนน ส่วนปี 2566 ได้ 35 คะแนน และปี 2567 เราได้ 34 คะแนน
จะเห็นได้ว่า คะแนนเราลดลง ซึ่งแหล่งข้อมูลที่มีการสำรวจ-ประเมิน มีการไปประเมินจาก 9 แหล่งข้อมูล จะมีเรื่องสินบนสองแหล่ง ที่เขาเห็นว่ายังมีการติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และภาคธุรกิจยังมีการจ่ายสินบนในกระบวนการต่างๆ เช่น การอนุมัติ การอนุญาตยังมีอยู่ ทำให้คะแนนเราลดลง ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายและนักลงทุน ในการที่เขาจะเข้ามาลงทุนก็ต้องคิดหนัก ก็เป็นเรื่องทำให้เสียหาย
-ในส่วนของป.ป.ช.มีแนวทางจุดยืนอย่างไรเพื่อทำให้ประชาชนรู้เท่าทันปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้เพื่อต่อต้านการเรียกรับและให้สินบน?
วิสัยทัศน์ของสำนักงานป.ป.ช. กำหนดว่าเป็นองค์กรนำ ในด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่น รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม
นอกจากนี้ สำนักงานป.ป.ช.มีนโยบาย “ป้องนำปราบ”ที่เป็นเรื่องของการนำเอาการป้องกันนำการปราบปราม ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะว่าการปราบปรามเหมือนการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ก็คือ เกิดเหตุทุจริตขึ้นมาแล้วเข้าไปดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ซึ่งมันเป็นปลายเหตุ เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืนเพราะจริงๆ หากจะแก้ปัญหาให้ยั่งยืน ต้องเป็นเรื่องของการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตหรือลดคดีทุจริตให้น้อยลง ที่ต้องทำควบคู่กันไป ไม่ใช่ว่าทำด้านใดด้านหนึ่งอย่างเดียวเพราะหากการปราบปรามทำได้ล่าช้า ไม่เห็นผล มันก็ไม่มีผลในการป้องปราม -ระงับยับยั้งจึงต้องทำให้รวดเร็ว การป้องกันต้องทำต่อเนื่องเพราะเป็นเรื่องระยะยาว
แนวทางการขับเคลื่อนของสำนักงานป.ป.ช.ในการที่จะบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นเพราะต้องอย่าลืมว่าการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ไม่ใช่ว่าป.ป.ช.หน่วยงานเดียวที่จะทำได้ เพราะเจ้าหน้าที่ก็มีอยู่แค่ประมาณสามพันคนทั่วประเทศ จึงต้องบูรณาการร่วมกันทำงานกับหน่วยงานอื่น ซึ่งในเรื่องการปลูกฝังความคิด วิธีคิด และจิตสำนึกของประชาชนให้มีวัฒนธรรมเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต มีความละอายต่อการกระทำความผิด สามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมออกจากกันได้ และมีการจัดทำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาขึ้นมา เพื่อไปปรับกระบวนการคิดหรือmind-set ของคนทุกช่วงวัย เพื่อให้มีพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการให้สินบน ต่อต้านการทุจริต โดยมีการนำหลักสูตรดังกล่าวไปสอนในสถาบันการศึกษา ตั้งแต่ประถมศึกษา-มัธยมศึกษา-อุดมศึกษา
นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องของกลไกทางศาสนา ซึ่งสำนักงานป.ป.ช.ได้ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำเสนอที่ประชุมมหาเถรสมาคมเพื่อจะให้องค์กรพระสงฆ์ ได้นำหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนา ประยุกต์กับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษานำไปเผยแพร่กับพุทธศาสนิกชนได้รับทราบทั่วประเทศ
สำหรับเรื่องของการป้องกัน ทางสำนักงานป.ป.ช.ได้มีการจัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (Corruption Deterrence Center : CDC) ซึ่งเป็นศูนย์ที่จะมามอนิเตอร์ในการรับข้อมูลข่าวสาร หรือข้อมูลที่มีประชาชน แจ้งข้อมูล แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตเข้ามาที่สำนักงานป.ป.ช. หรือจะเป็นข้อมูลจากเว็บ-เพจของภาคประชาสังคม เช่น เพจหมาเฝ้าบ้านหรือสื่อสังคมออนไลน์ สื่อมวลชนทุกแขนง ไม่ว่าจะสื่อในประเทศหรือนอกประเทศ ก็จะเอาข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์สถานการณ์แล้วก็ส่งข้อมูลเหล่านี้ไปให้กับทางป.ป.ช.จังหวัดที่มี 76 จังหวัด ให้ไปตรวจสอบว่าข่าวสารที่มีการแจ้งมาจากที่ต่างๆ ว่าน่าจะมีการทุจริตเช่นการก่อสร้างไม่เป็นไปตามรูปแบบหรืออาจไม่ถูกต้อง จะมีการไปตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากพบเห็นอย่างน้อยก็จะได้เป็นการระงับยับยั้ง ไม่ให้การทุจริตเกิดขึ้น ก็ทำให้การทุจริตลดลง
นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการ”ชมรม STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริต”ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เข้ามาเป็นสมาชิกชมรม ที่ตอนนี้มีอยู่ทั่วทุกจังหวัดทั่วประเทศให้มาร่วมกันเป็นหูเป็นตาให้กับป.ป.ช.หากพบว่ามีที่ไหนมีการทุจริตหรือส่อว่าจะมีการทุจริตก็ให้แจ้งข้อมูลมาที่สำนักงานป.ป.ช. เพื่อที่จะได้ลงไปตรวจสอบ
-แต่ก็มีชุดความคิดที่ว่า เรื่องสินบนเอง ก็อาจมีการเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระเสียเอง ป.ป.ช.มองเรื่องนี้อย่างไร?
องค์กรอิสระตั้งขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญโดยไม่ได้ไปขึ้นหรือไปสังกัดกับการเมือง หรือหน่วยงานหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การทำงานของป.ป.ช.หรือองค์กรอิสระอื่นๆ จึงทำหน้าที่อย่างอิสระ ดังนั้นการที่จะมีเรื่องของสินบนหรือมีการเมืองแทรกแซงการทำงานหรือไม่ ผมมั่นใจว่าองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อไปตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและขณะเดียวกัน องค์กรอิสระก็สามารถถูกตรวจสอบได้เพราะรัฐธรรมนูญได้มีการกำหนดกลไกในการตรวจสอบองค์กรอิสระเอาไว้ ซึ่งหากองค์กรใดทำไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามกรอบกฎหมาย หรือฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็เชื่อว่าจะต้องถูกสังคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการได้ คิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาตรงนี้
“ผมอาจขอพูดในนามของสำนักงานป.ป.ช. มั่นใจว่าสำนักงานป.ป.ช.จะทำงานภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและทำงานภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างถูกต้องอย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนและสังคม สิ่งใดที่เห็นว่าเราทำไม่ถูก ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะกับทางเราได้ เรายินดีรับมาและพร้อมที่จะดำเนินการให้เป็นไปตามที่ประชาชนต้องการ”
I am glad to be one of the visitors on this great web site (:, appreciate it for putting up.