ไม่แก้ รธน.จะตายมั้ย
คำนวณสัดส่วน สส.บัญชีรายชื่อใหม่
คือกลับไปใช้แบบเดิม ไม่มี สส.ปัดเศษ
นี่คือสิ่งที่นักการเมืองมองว่ามีปัญหามาก และแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว
แต่…ยังไม่พอ
ถึงหน้าเลือกตั้งที หาเสียงแก้ไขรัฐธรรมนูญที การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงทุกครั้ง
แท้จริงแล้วประชาชนต้องการจริงหรือไม่?
หรือเพียงแค่นักการเมืองต้องการเพิ่มความสะดวกให้ตัวเอง ด้วยการแก้บทบัญญัติที่เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่อำนาจ และการถูกตรวจสอบการใช้อำนาจ เท่านั้นเอง
หากพิจารณาจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้ทั้ง ๖ ประเด็น จะพบว่ามีเนื้อหาแก้เพื่อตัวเองแทบทั้งสิ้น
ประชาชนไม่ได้อะไรจากการแก้ไขเลย
หนำซ้ำยังเป็นการบ่มเพาะนักการเมืองสีเทายันนักการเมืองคดโกงให้เพิ่มมากขึ้น
ให้นักการเมืองกลุ่มนี้สามารถเข้าไปนั่งในทำเนียบรัฐบาลได้ง่ายขึ้น
ฉะนั้นหากหยุดพูดเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญสัก ๑๐ ปี ประเทศไม่มีทางวิบัติหรอกครับ กลับกันคนโกงที่รอครอบครองอำนาจ ก็ต้องรอไปอีก ๑๐ ปี
หลายคนครับที่ไม่กล้ากลับเข้ามาเป็นรัฐมนตรี หากยังไม่มีการแก้ไขคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีเสียใหม่
จึงอยากให้กลับไปใช้ตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ที่ไม่มีบทบัญญัติเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
แต่…ยากครับ ที่นักการเมืองจะยอมถอย
เพราะยังคงเห็นข่าวกระเหี้ยนกระหือรือจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันแทบทุกวัน
วานนี้ (๓๐ กันยายน) ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร เป็นประธาน กมธ.ฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ด้วยคะแนน ๑๖๗ เสียง ไม่เห็นชอบ ๑๙ เสียง งดออกเสียง ๗ เสียง
คือเอาตามที่กรรมาธิการแก้ไข
ร่างกฎหมายฉบับนี้ แก้ไขมาตรา ๑๓ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การผ่านประชามติ ที่ให้เติมความวรรคสอง กำหนดให้ การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในการจัดทำประชามติ มาตรา ๙ (๑) หรือ (๒) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น (Double Majority)
เรียกง่ายๆ คือ เกณฑ์ออกเสียงประชามติด้วยเสียงข้างมาก ๒ ชั้น
บรรดา สส.ที่อยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญถึงกับสำลักอาหารเที่ยง แบบนี้เท่ากับขวางไม่ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นทันอายุสภาผู้แทนฯ ชุดนี้ชัดๆ
เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ…
เมื่อ สว.เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก แก้เกณฑ์ออกเสียงประชามติด้วยเสียงข้างมาก ๒ ชั้น ร่างกฎหมายฉบับนี้จะถูกส่งกลับไปยังสภาผู้แทนฯ อีกรอบ
ถ้าสภาผู้แทนฯ เห็นด้วยก็ประกาศใช้เป็นกฎหมาย
แต่กรณีนี้คงยาก สส.ไม่ยอมหรอกครับ
ฉะนั้น เมื่อร่างกฎหมายกลับมาที่สภาผู้แทนฯ ก็ต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วม โดยกรรมาธิการฯ จะมีจำนวน สส.และ สว.เท่ากัน
ให้ไปคุยกันว่าจะเอาไงต่อ
จะแก้ไขอย่างไร
จะพบกันครึ่งทาง
หรือจะซัดกันให้แหลก ก็ว่าไปตามสะดวก
เมื่อกรรมาธิการร่วมพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จแล้ว ให้เสนอต่อทั้งสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา
ถ้าสภาทั้งสองเห็นชอบด้วย ก็นำสู่ขั้นตอนประกาศใช้เป็นกฎหมาย
แต่ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบให้ยับยั้งร่างกฎหมายนั้นไว้ก่อน
ตรงนี้แหละครับที่นักการเมืองเขากังวล
เพราะนั่นหมายความว่าสภาผู้แทนฯ จะหยิบยกร่างกฎหมายมาพิจารณาใหม่ ต้องรอให้พ้น ๑๘๐ วันไปก่อน
คือให้แขวนไว้ครึ่งปี หลัง ๒ สภาคุยกันไม่รู้เรื่อง
นี่แค่กระบวนการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามตินะครับ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเท่านั้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีรายละเอียดอีกมาก และใช้เวลาแรมปี กับระยะเวลาอายุสภาผู้แทนฯ ที่เหลืออยู่ ๒ ปี ๘ เดือน ไม่ทันแน่นอน
ต้องแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๕๖ เพื่อเปิดทางให้ตั้งส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
เสร็จแล้วต้องไปเลือก ส.ส.ร.
เลือก ส.ส.ร.เสร็จ จึงจะเข้าสู่กระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ต้องตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญของ ส.ส.ร.
เสร็จแล้วถึงจะให้ ส.ส.ร.พิจารณา
ต้องใช้เวลานานนับปี
และด้วยเกณฑ์ออกเสียงประชามติด้วยเสียงข้างมาก ๒ ชั้น ก็อาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล้มเหลวไม่เป็นท่า
แต่ก็ยังคงดันทุรังจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนที่สภาผู้แทนฯ ชุดนี้จะหมดวาระลง
หากคิดจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่บอกว่าเต็มไปด้วยประชาธิปไตยไร้ราคีคาวเผด็จการ ทำไมต้องเร่งรีบให้เสร็จภายในอายุสภาผู้แทนฯ ชุดนี้
ผูกโยงกันทำไม
มันหาคำตอบที่มีน้ำหนักแทบไม่ได้เลยครับ
นอกจากมีแผน ครอบงำ และ ครอบครอง ส.ส.ร.ที่จะตั้งขึ้น เพื่อกำหนดเนื้อหารัฐธรรมนูญได้ตามที่ตนเองต้องการ
ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญตอนนี้ ประเทศไม่พังแน่นอน
แต่หากดันทุรังจะแก้กันให้ได้ตอนที่ตัวเองถืออำนาจอยู่ ก็ระวัง…
รัฐบาลนั่นแหละครับจะพังเสียเอง.