ประพันธ์-ดิเรกฤทธิ์ สองอดีต สว. ‘อิ๊งค์’ อยู่ต่อ-เป็นอันตรายต่อชาติ อัปยศ สยบยอมอริราชศัตรู
เขาไม่มีวุฒิภาวะเลยว่ากำลังคุยกับอริราชศัตรู แล้วยิ่งมาพูดว่าเป็นแท็กติกเจรจา ผมว่าเป็นแท็กติกแห่งความอัปยศ เป็นแท็กติกแห่งความหายนะ เป็นแท็กติกแห่งการนำความพินาศมาสู่ประเทศ ไม่มีใครเขาใช้แท็กติกต่ำทรามแบบนี้ไปเจรจากับต่างประเทศ หากคุณจะคุยในฐานะผู้นำประเทศ ต้องคุยแบบมีเกียรติมีศักดิ์ศรี พฤติกรรมการพูดของนายกรัฐมนตรี มันไร้วุฒิภาวะ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเอาอธิปไตยไปสยบอยู่ใต้เท้าของฮุน เซน…หากไม่นำคลิปนี้มาเปิด คนไทยก็ไม่มีโอกาสรู้ว่าเรามีไส้ศึกที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ทางออกที่ดีที่สุดก็คือต้องลาออกเพราะมันเป็นความผิดเฉพาะตัวของนายกฯ
ประพันธ์ คูณมี
สถานการณ์การเมืองที่กระเพื่อมอย่างหนักขณะนี้ แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของประชาชนจากหลายภาคส่วนที่ไม่พอใจ กับสิ่งที่แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ได้กล่าวกับฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ปรากฏในคลิปเสียงที่คนไทยได้ฟังกันไปแล้วทั้งประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีทำเพียงแค่แถลงขออภัย ไม่ได้ประกาศลาออกหรือยุบสภาตามที่หลายฝ่ายเรียกร้องแต่อย่างใด
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เช่น ประชาธิปัตย์ หรือชาติไทยพัฒนา ก็ยังคงยืนยันจะอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป แต่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ มีรายงานในวงประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อ 19 มิ.ย. ว่าที่ประชุมมีการอภิปรายท่าทีของพรรคต่อการอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างหนัก และมีมติให้พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. ไปพูดคุยกับนายกฯเพื่อหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเสนอให้มีการเปลี่ยนตัวนายกฯ เป็นนายชัยเกษม นิติสิริ ทำให้สถานการณ์ต่อจากนี้ ยังต้องติดตามต่อว่าจะมีบทสรุปอย่างไร สำหรับรัฐบาลแพทองธารที่กำลังเข้าสู่ห้วงวิกฤตศรัทธาจากประชาชน
รายการ “ไทยโพสต์ อิสรภาพแห่งความคิด” ได้สัมภาษณ์ “ประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกวุฒิสภา, นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และ ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย, อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง” ขอความคิดเห็นในเรื่องสถานการณ์การเมือง และความเห็นต่อบทสนทนาระหว่างนายกฯ กับฮุน เซน รวมถึงการวิเคราะห์ทิศทางคดีของทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาฯ กำลังไต่สวนปมป่วยทิพย์ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยเป็นการสัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มิ.ย. ที่ถึงวันที่มีการเผยแพร่บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ บริบทการเมืองบางส่วนอาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ แต่เนื้อหาโดยรวมน่าสนใจอย่างยิ่ง
เริ่มที่ “ดร.ดิเรกฤทธิ์” ให้ความเห็นต่อคลิปเสียงสนทนาของนายกฯ แพทองธาร กับฮุน เซน ว่าฟังแล้วอยากร้องไห้ หากเรามีผู้นำแบบนี้ โดยที่มีปัญหาประเทศที่สำคัญแต่มองไม่ออก แก้ปัญหาไม่ถูก แล้วมีพฤติการณ์แบบนี้ ไปสมรู้หรือปรึกษาหารือ เพื่อแก้ปัญหาการรุกรานอธิปไตยของประเทศ แต่ไปปรึกษาผู้นำประเทศอื่นแบบนี้ไม่ได้
อย่างประโยคที่บอกว่า “มีอะไรก็ให้บอกมาจะจัดการให้” แบบนี้เหมือนกับไปอยู่ใต้เขา พร้อมจะแก้ปัญหาให้เขา ทั้งที่ปัญหานี้เป็นปัญหาของบ้านเรา และการเอาใจลุง (ฮุน เซน) เกินไป ที่บอกว่าที่ลุงโกรธเพราะแม่ทัพแสดงกิริยาก้าวร้าว แต่ไม่ใช่ฝ่ายเรา (แม่ทัพภาคที่ 2) แล้วบอกว่าอย่าไปใส่ใจอย่าไปฟัง
–นายกฯ อ้างว่าเป็นกลวิธีการสื่อสารหลังไมค์ เป็นเทคนิคการเจรจา?
ประพันธ์–เมื่อได้ฟังเสียงคลิปดังกล่าว ผมไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะผมรู้ว่านายกรัฐมนตรีไม่มีวุฒิภาวะตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมารู้ว่าไม่มีวุฒิภาวะตอนที่พูดคุยกันครั้งนี้ และเขาไม่เข้าใจสถานะของตัวเองว่าเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เป็นผู้นำ ผู้ปกครอง ผู้บริหารประเทศไทย เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งชาติ แต่เวลาไปคุยกับฮุน เซน เขาทำตัวเป็น Baby เป็นหลาน เป็นเด็ก ซึ่งมันเสื่อมเสียเกียรติยศและสถานะของประเทศไทยอย่างยิ่ง ไม่ได้รู้สถานะตัวเองเลยว่าไปคุยเรื่องอะไร และความสัมพันธ์ระหว่างฮุน เซนกับนายกฯ ที่คุยกันไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เขาพยายามบอกว่าเป็นการคุยแบบ “Private Conversation”
หากคุณถามฮุน เซน เรื่องเจ็บป่วย ตีกอล์ฟ ไปกินไปเที่ยวที่ไหน เรื่องสุขภาพ แบบนี้ใช่คุยเรื่องส่วนตัว แต่ที่คุยกันนั้นเป็นการคุยกับอริราชศัตรูของแผ่นดินไทย เพราะฮุน เซน เป็นคนสั่งให้ทหารกัมพูชาเข้ามารุกดินแดนประเทศไทย และฮุน เซน โพสต์ลงในเฟซบุ๊กว่า พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต เป็นของกัมพูชา และยังมีทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาขุดคูเลตในประเทศไทย และยังยื่นเรื่องต่อศาลโลก โดยบอกว่าหากไทยไม่ยอมอาจเป็นแบบกรณีฉนวนกาซา (อิสราเอลรบกับกลุ่มฮามาสต่อเนื่องยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด) เขาไม่มีวุฒิภาวะเลยว่ากำลังคุยกับอริราชศัตรู จะมาอ้างว่าคุยแบบหลังไมค์ไม่ได้
แล้วยิ่งมาพูดว่าเป็นแท็กติกเจรจา ผมว่าเป็นแท็กติกแห่งความอัปยศ เป็นแท็กติกแห่งความหายนะ แท็กติกแห่งการนำความพินาศฉิบหายมาสู่ประเทศ
ไม่มีใครเขาใช้แท็กติกต่ำทรามแบบนี้ไปเจรจากับต่างประเทศ หากคุณจะคุยในฐานะผู้นำประเทศ ต้องคุยแบบมีเกียรติมีศักดิ์ศรี คนไทยฟังภาษาไทย แปลภาษาไทยรู้เรื่อง แต่ที่มาดัดจริตแก้ตัวเป็นเรื่องทีหลัง ใครก็รู้ว่าด้อยค่า และดูถูกการปฏิบัติหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2
แถมไม่พอ ยังหาว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นคนละพวกกับคุณ แล้วคุณเป็นพวกของใคร เขาก็รู้แล้วว่าคุณกับฮุน เซน เป็นพวกเดียวกัน ทำมาหากินหาผลประโยชน์ด้วยกัน รวมถึงพ่อคุณด้วย แล้วคุณพูดเหมือนกับว่าแม่ทัพเป็นคนละพวกกับคุณ ใครก็รู้ว่ามีเจตนาอย่างไร แถมยังบอกอีกว่า ลุงอยากได้อะไรจะจัดการให้หมด “อ้าว..ก็ลุงอยากได้ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด แล้วจะจัดให้เขาไหม” แบบนี้ไม่ใช่คำพูดของผู้นำประเทศที่จะไปบอกเขา เหมือนกับว่าประเทศไทยเป็นสมบัติส่วนตัวของคุณหรือไง
…พฤติกรรมการพูดของนายกรัฐมนตรีมันไร้วุฒิภาวะ และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเอาอธิปไตยไปสยบอยู่ใต้เท้าของฮุน เซน คำถามก็คือว่า ที่ว่าฮุน เซนโกรธ ก็เชิญมันโกรธไปสิ ไปกลัวอะไร มันแค่ประเทศเล็กๆ ประเทศที่เคยเป็นขี้ข้าของประเทศไทยมาก่อนด้วย แล้วประเทศไทยมีกำลังทัพมหาศาล มีแต่คุณที่กลัว แต่คนไทยไม่มีใครกลัวเลย ทหารก็ไม่กลัว เพราะทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตย แล้วมันหน้าที่อะไรที่คุณต้องไปเอาอกเอาใจเขา โดยยกประโยชน์อธิปไตยไปให้เขา นี่คือปัญหาความบกพร่องอย่างร้ายแรงของนายกฯ
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ประเด็นก็คือจากคลิปเสียงดังกล่าว มันไม่มีเนื้อหาในประเด็นเจรจา เพราะฟังแล้วระหว่างลุงกับหลาน เข้าใจ-แนะนำอย่างเดียว และพร้อมที่จะเอาประเด็นปัญหาของเขา (กัมพูชา) มาแก้ไขอย่างที่เขาอยากให้เป็น โดยที่ควรบอกว่าปัญหาที่ประเทศไทยเจอคือเขามารุกรานเราอย่างไร แล้วจะมีปัญหาอย่างไร มีวิธีการแก้ไขปัญหาแบบนี้ ที่จะเกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่ายและเป็นไปตามกฎหมาย จะมีทางออกอย่างไร ก็หารือกัน
–ที่นายกฯ ยืนแถลงเมื่อ 18 มิ.ย.ก็บอกว่าเป็นเรื่องของเทคนิคการเจรจา และต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.ที่แถลงหลังประชุมกับฝ่ายความมั่นคง ก็ยังยืนยันว่าเป็นเทคนิคการเจรจา แต่นายกฯ ก็มาขออภัย?
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ที่บอกว่าเป็นเรื่องเทคนิคการเจรจา หัวใจคือเทคนิคดังกล่าวเจรจาเพื่อให้ได้อะไร เป็นเรื่องสำคัญกว่า ดูแล้วเทคนิคของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้ลุงสบายใจอย่างเดียว ผมดูแล้วไม่มีเนื้อหาอะไรเลย มันไม่ได้ใช้เทคนิคเพื่อให้เขายอมรับ ว่ามันมีการบุกรุกในแผ่นดินของเราหรือไม่ อย่างไร ประเด็นปัญหาเหล่านี้เราต้องแก้ไข ลุงต้องเข้าใจ เรื่องนี้ต้องได้ข้อยุติอย่างไร และสิ่งสำคัญที่สุดเฉพาะหน้า สิ่งที่ทหารเขาทำ เขาทำตามหน้าที่ ให้เขาเข้าใจบทบาท แล้วให้กัมพูชาถอยไป ถ้าแบบนี้จะได้ประโยชน์กับประเทศ
ประพันธ์-ถ้าฟังเนื้อหาในคลิปทั้งหมดที่มาอ้างเป็นเทคนิคการเจรจา ข้อเสนอหรือข้อเจรจาของฝ่ายนายกฯ ไทย ไม่มีแม้แต่ข้อเดียว มีแต่ค่ะ แล้วจะทำให้ แล้วบอกว่าเป็นเทคนิคเจรจาตรงไหน ถ้าจะฟังว่าเป็นเทคนิคเจรจามีอยู่ข้อเดียวที่ว่า “คนไทยไล่ไปเป็นนายกฯ เขมรอยู่แล้ว เห็นใจหนูหน่อย” คือไปขอเขาเรื่องส่วนตัวให้เขาเห็นใจ ที่มาอ้างเป็นเทคนิคเจรจาจึงอ้างไม่ได้ เพราะตลอดทั้งเรื่องมันมีแต่เรื่องฮุน เซนโกรธไม่พอใจ ที่มีการห้ามคนไทยข้ามชายแดนไปเล่นพนันที่บ่อน เลยโกรธ ซึ่งตลอดบทสนทนาปล่อยให้ฮุน เซนด่าทหารไทย ว่าทหารไทยริเริ่มก่อน แล้วมาบอกว่าฮุน เซนโกรธ ลุงโกรธ
–คิดว่าทำไมฮุน เซนถึงปล่อยคลิปนี้ออกมา มีแผนอย่างไร?
ประพันธ์-ผมเชื่อว่าฮุน เซนมีคลิปสนทนา ไม่ใช่แค่คลิปเสียงที่คุยกับนายกฯ แต่มีกับพ่ออุ๊งอิ๊งด้วย และคลิปสนทนา ที่คำพูดหรือการกระทำที่เป็นการเอื้อประโยชน์กับฮุน เซน ตัวฮุน เซนน่าจะเก็บไว้ใช้ประโยชน์ในวารโอกาสต่างๆ แม้กระทั่งอาจใช้อ้างอิงในศาล (ศาลโลก) ด้วยว่าคุณยอมรับอะไรต่างๆ แล้ววิธีการแบบนี้ฮุน เซนใช้มาตลอด กับการที่ต้องการอยากได้ดินแดนของไทยไป ด้วยวิธีการแบบกฎหมายปิดปากว่าฝ่ายเขาไปทำอะไรต่างๆ แล้วฝ่ายเรายอมรับไม่ค้าน
อีกอันหนึ่งต้องขอบคุณฮุน เซน เพราะหากไม่นำคลิปนี้มาเปิด คนไทยก็ไม่มีโอกาสรู้ว่าเรามีไส้ศึกที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ต้องขอบคุณฮุน เซน เพราะฮุน เซนก็ไม่ได้ฉลาดกว่าคนไทยเท่าไหร่ ก็โง่อยู่เหมือนกัน เพราะการเอาคลิปนี้มาเปิดเท่ากับเป็นการฆ่าตระกูล “ชิน” ไปในตัว ฆ่านายกฯ ไทยไปในตัว เมื่อนายกฯ ไทยหมดอำนาจไปแล้ว ไม่หมดอำนาจด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง แล้วคนไทยก็จะลุกฮือขึ้นมาขับไล่ฮุน เซน คิดว่าการเปิดคลิปนี้ทำให้ความรู้สึกคือตัวเองยังเป็นต่อ เพราะนายกฯ ไทยมาสวามิภักดิ์ มาขอร้อง ก็เอาอันนี้ไปโชว์กับคนเขมรว่าเห็นไหม ขนาดนายกฯ ไทยยังมาสวามิภักดิ์ คือมีเป้าหมายเพื่อทำให้คนกัมพูชาพอใจ
ดร.ดิเรกฤทธิ์-อันนี้ชี้ให้เห็นว่าเขารักประเทศมากกว่านายกฯ ของเรา ถ้าต้องเลือกการขาดสะบั้น เขาเลือกเอาประเทศเป็นหลัก ตรงนี้เป็นการเมืองที่สำคัญ เขมรก็ใช้มาตลอด เพราะความชาตินิยมจะชี้ให้เห็นว่าผู้นำของเขาคือความอยู่รอดของประเทศ และผู้นำของเขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศได้ประโยชน์ และสิ่งที่รับปากไว้ในการแก้ปัญหานี้ เขานำไปอ้างได้กับประชาชนของเขาว่า นี่ไงคุยกันหมดแล้ว โดยผู้นำไทยรับปากว่าจะช่วย แต่ที่ไม่สำเร็จไม่ใช่เพราะเขา แต่เขาโดนหักหลัง
–ถามแบบมองโลกสวย อุ๊งอิ๊งก็ไม่ได้มีความไม่รักชาติ เพียงแต่เขาไร้เดียงสา ไม่มีวุฒิภาวะ สิ่งที่ทำยืนอยู่บนความบริสุทธิ์ใจ มองแบบนี้ได้ไหม?
ประพันธ์–เป็นการพยายามที่พยายามจะทำความเข้าใจมากๆ ที่จะเข้าใจ
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ผมก็มองแบบนี้ว่า เขาก็คงไม่ได้คิดร้ายต่อประเทศ แต่เพราะขาดประสบการณ์ ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่ทันเกมระหว่างประเทศ เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ ที่แตกต่างจากนายกฯ กัมพูชามาก
–หากปล่อยให้เป็นนายกฯ ต่อไปจะเป็นการทำร้ายประเทศหรือไม่?
ดร.ดิเรกฤทธิ์-น่ากลัวมาก
ประพันธ์-อันตราย คือเป็นไปได้ที่อาจคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ตัวเองพูด มันจะเป็นผลเสียร้ายแรงต่อราชอาณาจักรไทย แต่เพราะโดยธรรมชาติของพ่อเขา ครอบครัวเขา มันไปผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกับตระกูลฮุน แล้วคงไปมีผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่าผลประโยชน์ชาติ คือไปมีผลประโยชน์กับฮุน เซน โดยเอาผลประโยชน์ชาติไป แล้วผมเชื่อว่าในการพูดคุย ทักษิณคงไปพูดคุยหลายเรื่องที่รับปากกับฮุน เซน โดยคงมีการบันทึกเทปไว้ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่ทางทะเล อันนี้น่ากลัวยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นครอบครัวเขา (ครอบครัวนายกฯ) เลยคิดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ความสำนึกว่าต้องปกป้องผลประโยชน์ของชาติไทยเลยมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งคนเช่นนี้จะไว้ใจให้มาปกครองและบริหารบ้านเมืองไม่ได้
ประสานเสียงนายกฯ ต้องลาออก
–นายกฯ แค่แถลงขออภัย แต่ไม่ได้ลาออกหรือยุบสภา อยากให้รับผิดชอบอย่างไร?
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ในทางการเมืองต้องลาออก แม้ให้มีเจตนาดีอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อมีผลกระทบในวงกว้างจากสิ่งที่เกิดขึ้น โดยดูได้จากเช่นการวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ เช่น นักวิชาการ ทหาร ประชาชน เขาก็เข้าข้างทหารทั้งนั้น
ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นความผิดพลาดที่ไปทำลายความมั่นคง ตอนนี้ก็มีการไปร้องเอาผิดต่างๆ ทั้งคดีอาญา ไปแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และการร้องเอาผิดมาตรฐานจริยธรรมโดยกลุ่มสมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อกัน การที่นายกฯ แถลงขออภัยก็คือการรับรู้แล้วว่าเรื่องนี้กระทบจิตใจประชาชน การลาออกคือสปิริตที่ควรจะมี
ประพันธ์-ความผิดหรือพฤติกรรมแห่งการกระทำของนายกฯ มันร้ายแรงกว่าทุกกรณีเท่าที่เคยมีมาสำหรับนักการเมือง เพราะมันเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ อำนาจอธิปไตยของประเทศ และเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่เป็นความผิดต่อความมั่นคง เพราะเป็นการทำให้อธิปไตยของประเทศได้รับความเสียหาย และไปตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐหรือประเทศอื่น เช่นตามมาตรา119 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่เขียนไว้ว่า “ผู้ใดกระทำการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต” อย่างที่พูด ฮุน เซนจะเอาอะไร พร้อมจัดการให้ ก็ฮุน เซนมันรุกเข้ามาในประเทศไทยแล้ว บอกว่าจะเอา 3 ปราสาท แล้วจะไปจัดการให้เขาหรือ
และยังมีมาตรา 120 ที่ระบุว่า “ผู้ใดคบคิดกับบุคคลซึ่งกระทำการเพื่อประโยชน์ของรัฐต่างประเทศ ด้วยความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐ หรือในทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี” ก็คือ ฮุน เซนโดนกดดันจากในประเทศ แล้วจะไปช่วยฮุน เซน จะไปช่วยคุณลุง ลุงจะเอาอะไรก็ช่วย ทหารปิดด่านหรือ จะจัดการให้ มันก็เข้าองค์ประกอบ
และยังผิดต่อมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งสมัยผมเป็น สว.ชุดที่แล้ว ที่ผมกับคุณดิเรกฤทธิ์ไปยื่นต่อศาล รธน.ยังเบากว่าอันนี้เยอะ ที่ สว.ก็เข้าชื่อยื่นไปแล้ว อันนี้ร้ายแรงมาก เพราะเป็นการไม่ซื่อสัตย์ ไม่ปกป้องอำนาจอธิปไตย พฤติกรรมที่แสดงออกบ่งบอกไปในทางนั้น
ประชาชนทั้งประเทศไม่พอใจต่อพฤติกรรมการกระทำ ไม่อาจยอมรับ ไม่ไว้วางใจ ไม่ศรัทธาที่จะให้ปกครองบ้านเมืองต่อไป เพราะไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะแอบไปทำความตกลงอื่นๆ อะไรอีกที่เป็นการเสียหายต่อประเทศ การอยู่ต่อไปมันไม่อาจอยู่ได้อยู่แล้ว
ทางออกที่ดีที่สุดก็คือต้องลาออก เพราะมันเป็นความผิดเฉพาะตัวของนายกฯ การไปยุบสภาเท่ากับเป็นการไปลงโทษ สส.ที่เขาไม่ได้ทำผิด แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวของตระกูลนี้ เขาก็ไม่ลาออก เขาจะหน้าด้าน เป็นตระกูลที่หน้าด้านที่สุดในประเทศไทยแล้ว ในทางการเมืองก็อาจยุบสภาเพื่อให้ตัวเองได้รักษาการ แล้วเขากำลังรอลุ้นอยู่ที่จะปรับ ครม.โดยยึดกระทรวงมหาดไทยมา การนำรายชื่อ ครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ นายกฯ ต้องเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ หากไปลาออกก่อนที่จะยื่นขอปรับ ครม.ก็ไม่มีผล
ความหน้าด้านจึงมาด้วยเหตุนี้ ก็คือเขาจะไม่ลาออก ดีที่สุดอย่างเก่งก็ยุบสภา แต่มาแถลงขออภัยแต่ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา แล้วมาบอกประชาชนว่าไม่มีเวลามาทะเลาะกัน ประชาชนเขาสามัคคีกันจะตาย ทหารกับประชาชนก็รักกันดี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เขาไม่มีทางทะเลาะกันอยู่แล้ว แต่เขาทะเลาะกับคุณ เพราะคุณไม่มีคุณสมบัติจะเป็นนายกฯ ได้ เพราะคนอย่างนี้ให้อยู่เป็นนายกฯ วินาทีเดียวก็ไม่ได้ ก็ควรลาออก เพราะอยู่ต่อก็จะถูกดำเนินคดี
และที่เร็วที่สุดก็คือคำร้องที่จะส่งไปศาล รธน.จะมาเร็ว ส่วนเรื่องท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล หากแถลงถอนตัวเช่น รวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคที่ไม่ควรอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างยิ่ง เพราะอย่างนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค ก็เป็นลูกทหาร หรือเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ก็เคยเป็นอดีตแกนนำ กปปส.ต่อต้านระบอบทักษิณมา ที่ไปร่วมรัฐบาลกับอุ๊งอิ๊งคนก็ยังให้โอกาส แต่เมื่อทรยศประเทศแล้วยังไปจับมืออีก หากยังไม่ถอนตัวก็ควรรีบถอนเสีย หากไม่ถอน รวมไทยสร้างชาติจะหมดอนาคต
–หากนายกฯ ลาออกก็ต้องมาโหวตเลือกนายกฯ อีก ซึ่งแพทองธารก็ยังมีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อได้อีก?
ประพันธ์-ก็ได้ แต่จะมีเสียงสนับสนุนถึงหรือไม่
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ผมคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่มีอยู่ประคับประคองประเทศไปได้อยู่ ประพันธ์-ประชาชนมองว่ารัฐบาลหมดความชอบธรรมที่จะปกครองบ้านเมืองต่อไปแล้ว ขนาดนี้แล้วจะหน้าด้านอยู่ได้อย่างไร การลาออกคือทางออกที่ดีที่สุด ระบอบประชาธิปไตยก็เดินหน้าต่อไปได้
ประโยคที่บอกว่า “มีอะไรก็ให้บอกมาจะจัดการให้” แบบนี้เหมือนกับไปอยู่ใต้เขา พร้อมจะแก้ปัญหาให้เขา ทั้งที่ปัญหานี้เป็นปัญหาของบ้านเรา ..ในทางการเมืองต้องลาออก แม้ให้มีเจตนาดีอย่างไรก็ตาม …การที่นายกฯ แถลงขออภัย ก็คือการรับรู้แล้วว่าเรื่องนี้กระทบจิตใจประชาชน การลาออกคือสปิริตที่ควรจะมี
ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม
ส่องทิศทางไต่สวนคดีชั้น 14 จบที่ ‘ทักษิณ’ โอกาสคืนคุกสูง!
–พูดถึงนายกฯ แล้ว มาดูที่พ่อนายกฯ บ้าง เท่าที่ติดตามการไต่สวนของศาลฎีกาฯ คดีชั้น 14 นัดแรกเมื่อ 13 มิ.ย.เป็นอย่างไรบ้าง?
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ผมก็เคยเป็นเลขาธิการศาลปกครอง ก็เข้าใจระบบการไต่สวนดี โดยเมื่อศาลฎีกาฯ ไม่รับคำร้องที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ยื่นไปที่ศาลฎีกาฯ 2 ครั้ง แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาเอง จึงไม่ต้องใช้คำร้องของนายชาญชัยเป็นตัวตั้งแล้ว ศาลฎีกาฯ เข้ามาไต่สวนเอง โดยการไต่สวนก็สามารถไต่สวนได้อย่างกว้างขวาง ทั้งเรื่องประเด็นและการเรียกหน่วยงานมาชี้แจงเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงได้ครบถ้วน รวมทั้งสามารถมีคำบังคับได้หลากหลายกว่าที่เราจะคิดได้ รวมทั้งบุคคลที่ถูกบังคับโทษโดยมีข้อกล่าวหาว่ายังไม่ได้รับโทษจริง
เรื่องนี้หัวใจสำคัญก็คือว่า ชั้น 14 เป็นคุกจริงหรือไม่ และชั้น 14 เป็นห้องรักษาพยาบาลได้จริงหรือไม่ ที่ผมขยายความแบบนี้เพราะว่าในเรื่องของระเบียบ หากคนเข้าไปในเรือนจำแล้วออกไม่ได้ หากจะตายก็ต้องตายในนั้นเลย เพราะเขามีโรงพยาบาลดูแล มีกรณียกเว้นอยู่ว่าหากเป็นโรคติดต่อ จะไปติดต่อคนอื่น หรือวิกลจริต จะไปทำร้ายคนอื่นเขา ทำให้เสียหายทั้งเรือนจำ กรณีที่จะออกนอกเรือนจำต้องมากกว่าของราชทัณฑ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246
(“เมื่อจำเลย สามี ภริยา ญาติของจำเลย พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำหรือเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายจำคุกร้องขอ หรือเมื่อศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจสั่งให้ทุเลาการบังคับให้จำคุกไว้ก่อนจนกว่าเหตุอันควรทุเลาจะหมดไป ในกรณีต่อไปนี้ (1) เมื่อจำเลยวิกลจริต (2) เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก (3) ถ้าจำเลยมีครรภ์ (4) ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปี และจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น
ในระหว่างทุเลาการบังคับอยู่นั้น ศาลจะมีคำสั่งให้บุคคลดังกล่าวอยู่ในความควบคุมในสถานที่อันควรนอกจากเรือนจำหรือสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายจำคุกก็ได้ และให้ศาลกำหนดให้เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการตามหมายนั้นเป็นผู้มีหน้าที่และรับผิดชอบในการดำเนินการตามคำสั่งลักษณะของสถานที่อันควรตามวรรคสองให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งต้องกำหนดวิธีการควบคุมและบำบัดรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของจำเลย และมาตรการเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
เมื่อศาลมีคำสั่งตามวรรคหนึ่งแล้ว หากภายหลังจำเลยไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือมาตรการตามวรรคสามหรือพฤติการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ให้ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือให้ดำเนินการตามหมายจำคุกได้ให้หักจำนวนวันที่จำเลยอยู่ในความควบคุมตามมาตรานี้ออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา )
…ก็ต้องหยุดนับเวลาการเป็นนักโทษ เพราะยังไม่พร้อมเป็นนักโทษ แต่นายทักษิณพยายามอ้างเหตุในข้อ 2 คือหากไปติดคุกแล้วอาจอันตราย อาจตายได้ ซึ่งตรงนี้มันต้องขอศาลในการนำตัวออกไปนอกเรือนจำ
ปัญหาคือว่าหากทุเลา ต้องไม่นับเวลาการเป็นนักโทษ คือออกจากการเป็นนักโทษเสียก่อน ต้องขอศาล แต่ปัญหาคือการไปอยู่ชั้น 14 เป็นการอยู่นอกเรือนจำหรือไม่
–ในการไต่สวนเมื่อ 13 มิ.ย. ผบ.เรือนจำพิเศษฯบอกว่านายทักษิณถูกส่งตัวไป รพ.ตำรวจโดยไม่ผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ ดังนั้นต้องไปไต่สวนให้เคลียร์ก่อน?
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ถูกต้อง ก็ไต่สวนทั้งสองส่วน คือ ระเบียบราชทัณฑ์มันขัดกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ ซึ่ง ป.วิ.อาญาฯ ว่าด้วยการเอาตัวผู้กระทำความผิดทางอาญามาสู่ศาล แล้วให้ศาลสั่งลงโทษจำคุก เพราะมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงได้มีการตั้งกรมราชทัณฑ์ ก็คือ ป.วิ.อาญาฯ มาก่อนการมีเรือนจำเสียอีก แล้วเรือนจำที่มีหน้าที่ทำตาม ป.วิ.อาญาฯ จะไปออกระเบียบมาให้ขัดกับ ป.วิ.อาญาฯ ได้อย่างไร
ผมอธิบายร่มใหญ่ให้เห็นว่า ป.วิ.อาญาฯ ใหญ่ขนาดที่ส่งงานให้ประเทศไทยต้องตั้งหน่วยงานหนึ่งที่ชื่อ กรมราชทัณฑ์มาทำงาน กรมราชทัณฑ์เมื่อจะทำงาน ต้องมีรายละเอียดในการควบคุมนักโทษ ระเบียบจึงจะออกมาขัดแย้งป.วิ.อาญาฯ ไม่ได้ ระเบียบจะออกมาเพื่อเอานักโทษไปอยู่นอกเรือนจำจึงทำไม่ได้ ซึ่งประเด็นนี้หากไต่สวนแล้วพบว่าไม่มีการขอเลย (ขอศาล) แสดงว่าไม่มีการขอทุเลา เมื่อไม่มีการขอทุเลาแล้วเอาตัวออกไปนอกเรือนจำ อันนี้คุณทำผิดแล้ว และมีบางคนกล่าวถึงว่าที่อ้างมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์
(มาตรา 55 ในกรณีที่ผู้ต้องขังป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ผู้บัญชาการเรือนจําดําเนินการให้ผู้ต้องขังได้รับการตรวจจากแพทย์โดยเร็ว
หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบําบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจําจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบําบัดรักษาสําหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาลหรือสถานบําบัดรักษาทางสุขภาพจิตนอกเรือนจําต่อไป ทั้งนี้หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจํา ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอํานาจอนุญาตให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
ในกรณีที่ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจําตามวรรคสอง มิให้ถือว่าผู้ต้องขังนั้นพ้นจากการคุมขัง และถ้าผู้ต้องขังไปเสียจากสถานที่ที่รับผู้ต้องขังไว้รักษาตัว ให้ถือว่ามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา)
แต่มาตรา 55 เองก็ยังมีมาตรา 6 ที่ใหญ่กว่าเป็นบททั่วไป
(มาตรา 6 กรมราชทัณฑ์อาจดําเนินการให้มีมาตรการบังคับโทษด้วยวิธีการอื่นนอกจากการควบคุม ขัง หรือจําคุกไว้ในเรือนจํา แต่มาตรการดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมตลอดถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ)
ถ้าหากว่าขัดแย้ง เผลอๆ การออกกฎหมายลำดับรอง กฎกระทรวงนี้อาจไม่ชอบด้วยซ้ำไป ที่ศาลฎีกาฯ ก็สามารถพิจารณาได้ ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วว่ากฎกระทรวงนี้ไม่ชอบ ก็ตายเลย อย่างนี้ก็ผิดเลย การกระทำทั้งหมดก็ผิด
ถ้าจะเอาตามราชทัณฑ์ต้องอธิบายรายละเอียดให้ได้ คือ การส่งไปด้วยอาการป่วย ก็ต้องบอกว่ามันเกินความสามารถของที่นี่ แล้วส่งไปที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจได้อย่างไร ทำไมมันผิดปกติ ไม่ผ่านขั้นตอน ไม่ผ่านไอซียู ในส่วนศักยภาพที่เหนือกว่าราชทัณฑ์มันมีตรงไหนที่ต้องไป ไม่ใช่ไปนอนเล่นเฉยๆ
ประพันธ์-เท่าที่ผมฟังวันนั้น ผมคิดว่าประเด็นสาระสำคัญอยู่ตรงที่ว่าการรับตัวทักษิณเข้ามา ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของราชทัณฑ์ครบถ้วนหรือไม่ ที่ศาลฎีกาก็ถามไปแล้ว และกรณีของนายทักษิณถูกส่งตัวไป รพ.ตำรวจเลย ทำไมจึงไม่ผ่านขั้นตอนที่ต้องส่งไป รพ.ราชทัณฑ์ หากว่ามีอาการตามที่บอก ที่ก็ไม่ใช่อาการที่เข้าข่ายส่งไปข้างนอกเรือนจำ ศักยภาพของ รพ.ราชทัณฑ์ที่เป็น รพ.ขนาดสองร้อยเตียงมีศักยภาพรักษาได้หรือไม่ ที่ศาลฎีกาก็ถาม และผู้บัญชาการเรือนจำฯ ก็ตอบว่าปกติแล้ว อาการป่วยของคนพวกนี้ต้องส่งเข้า รพ.ราชทัณฑ์ก่อน แต่รายนี้ (ทักษิณ) ไม่ได้ผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ อันนี้ก็เป็นหลักฐานมัดตัวแล้ว
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ประเด็นก็คือว่า ป่วยวิกฤตร้ายแรงจนกระทั่งไม่สามารถอยู่เรือนจำได้ ต้องส่งออก ที่ตรงนี้เป็นเรื่องการทุเลา แต่กำลังเอาเรื่องทุเลาไปใช้ตามมาตรา 55 ตามกฎกระทรวงของกรมราชทัณฑ์ ที่มันผิดฝาผิดตัว ผิดฝั่ง และนอกจากการส่งตัวโดยอาการป่วยไม่ถูกต้องแล้ว ที่ชั้น 14 ไม่มีอุปกรณ์รักษาอะไรเลย แล้วตลอด 180 วันต้องรายงานว่ามีการรักษาแล้วก็ไม่ทุเลาเลย เพราะทุเลาสามวันก็ต้องกลับในสามวัน และที่สำคัญคือมันไม่ใช่ที่คุมขังตามระเบียบหลักเกณฑ์ ไม่มีแม้กระทั่งกล้องวงจรปิด เป็นต้น
–สุดท้ายแล้ว ทักษิณต้องคืนคุกไหม?
ดร.ดิเรกฤทธิ์-ก็คืน ก็ถามว่าจะคืนเท่าเดิมหรือคืนมากกว่าเดิม
ประพันธ์-มีแนวโน้มสูงที่จะต้องกลับคืนไป ผมว่ามันเกิน 99.99 ตามข้อเท็จจริงนี้ เดือนสิงหาคมก็น่าจะได้ฟังคำสั่งแล้ว
ผมเชื่อว่าคนที่จะติดคุกคือพวกข้าราชการ พวกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ พวกแพทย์ทั้งหลาย แต่ทักษิณจะไม่ติด มันต้องหาทางหนี ผมไม่เคยเชื่อน้ำยาเลยว่าจะยอมติดคุก เพราะขนาดลงทุนให้คนอื่นทำมาถึงขนาดนี้แล้วตัวเองจะไปยอมติดคุก คืองาช้างงอกออกจากปากหมาก่อนถึงจะเชื่อ คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างที่จะทำให้คนไทยได้ศึกษาได้บทเรียน ทำให้เข้าใจกระบวนการบังคับโทษของนักโทษและกระบวนการใช้อำนาจของศาล ว่าศาลมีอำนาจหรือไม่อย่างไร เราจะได้เรียนรู้ตรงนี้.