สหรัฐฯ เข้าข้างรัสเซีย ปฏิเสธสนับสนุนยูเครนในที่ประชุมสหประชาชาติ

เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 กล่าวว่า สงครามในยูเครนเริ่มมีการเปลี่ยนขั้ว หลังจากสหรัฐอเมริกาลงมติร่วมกับรัสเซียไม่เห็นด้วยกับมติประณามการรุกรานยูเครน ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กำหนดจุดยืนใหม่เกี่ยวกับสงครามยูเครน โดยมีทีท่าเอนเอียงเข้าหารัสเซียและเริ่มถอยห่างจากยูเครน

ที่ประชุมได้เปิดลงมติล่าสุดให้ส่งข้อความประณามรัสเซียจากกรณีรุกรานยูเครนเนื่องในวาระ 3 ปีแห่งความขัดแย้ง

ญัตติดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรยุโรปด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 93 เสียง และไม่เห็นด้วย 18 เสียง โดยมีผู้งดออกเสียง 65 เสียง

ตัวแทนจากวอชิงตันนั้นลงมติเข้าข้างมอสโก เช่นเดียวกับพันธมิตรอื่นของรัสเซีย เช่น เบลารุส, เกาหลีเหนือ และซูดาน เพื่อคัดค้านมติของที่ประชุม

ข้อความดังกล่าวได้วิพากษ์วิจารณ์รัสเซียอย่างรุนแรง และเน้นย้ำถึงบูรณภาพแห่งดินแดนและการละเมิดพรมแดนของยูเครน

ขณะที่ตัวแทนวอชิงตันได้เสนอญัตติในทางตรงกันข้าม ซึ่งยิ่งตอกย้ำความบาดหมางที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน

วาซิลี เนเบนเซีย ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติกล่าวถึงญัตติของสหรัฐฯ ว่า “ก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง” ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์

แต่ฝรั่งเศสได้เสนอแก้ไขญัตติของสหรัฐ และแจ้งต่อสมัชชาใหญ่ว่า ตัวแทนจากฝรั่งเศส, อังกฤษ รวมถึงประเทศในยุโรปอื่นๆ ไม่สามารถสนับสนุนญัตติดังกล่าวของสหรัฐได้

ประเทศเหล่านี้ซึ่งล้วนสนับสนุนยูเครน ได้ผลักดันให้แก้ไขญัตติของสหรัฐฯ โดยให้ระบุว่า “การรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบนั้นดำเนินการโดยรัสเซีย”

ฮังการี ซึ่งนายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่สนับสนุนปูตินมากที่สุดในยุโรป ได้ลงคะแนนเสียงคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าว

ข้อเสนอของสหรัฐฯ ได้รับการแก้ไขอย่างหนักจนในที่สุดตัวแทนวอชิงตันก็งดออกเสียงในญัตติของตนเอง ในขณะที่สมัชชาลงมติสนับสนุนข้อความประณามรัสเซีย

การไม่ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครนเป็นรากฐานสำคัญของมติครั้งก่อนๆ ที่สมัชชายกมืออนุมัติ โดยสหรัฐฯ ภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุด

“แม้การแก้ไขข้อความหรือเสนอญัตติใดๆจะไม่สามารถหยุดการสู้รบได้ แต่สหประชาชาติก็ยังต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดการสังหารนี้ เราขอเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดร่วมมือกันในการนำสหประชาชาติกลับสู่ภารกิจหลักด้านสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ” โดโรธี เชีย ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติกล่าวก่อนการลงมติ

ภายหลังเสร็จสิ้นการลงมติ มารีอานา เบตซา ​​รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศยูเครนถูกถามว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวของวอชิงตันทำให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์หรือไม่ ซึ่งเธอยืนกรานว่า “เรายังคงมีความสัมพันธ์ในการทำงานที่ยอดเยี่ยมกับสหรัฐอเมริกา”

หลังการลงมติของสมัชชาใหญ่ คาดว่าตัวแทนวอชิงตันจะผลักดันญัตติเดิมที่ไม่มีการแก้ไข เข้าสู่การลงมติในคณะมนตรีความมั่นคงในลำดับต่อไป โดยข้อความในญัตติดังกล่าวจะเรียกร้องให้ยุติความขัดแย้งในยูเครนโดยเร็ว แต่ไม่ได้ระบุถึงบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน

ทั้งนี้ กฎของสหประชาชาติระบุว่าสมาชิกถาวรไม่สามารถใช้สิทธิ์ยับยั้งการแก้ไขที่เสนอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่ได้ และเพื่อให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติผ่านร่างมติใดๆได้นั้น จะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 9 ใน 15 ประเทศ และต้องไม่ถูกยับยั้งโดยสมาชิกถาวรทั้ง 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย และจีน

แม้ว่าสมาชิกสหภาพยุโรปของคณะมนตรีฯ ได้แก่ ฝรั่งเศส, สโลวีเนีย, เดนมาร์ก และกรีซ รวมถึงอังกฤษ จะงดออกเสียง แต่ญัตติของสหรัฐฯ ก็น่าจะยังผ่านได้ ซึ่งจะทำให้เกิดคำถามว่าฝรั่งเศสหรืออังกฤษพร้อมที่จะใช้สิทธิ์ยับยั้งเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปีหรือไม่

ผู้นำทั้งสองประเทศ ได้แก่ เอมมานูเอล มาครง และเคียร์ สตาร์เมอร์ จะเดินทางเยือนทำเนียบขาวในสัปดาห์นี้เพื่อหารือเรื่องยูเครน

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันทำให้เกิดสันติภาพที่ “รักษาบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครนอย่างเต็มที่” และเคารพกฎบัตรสหประชาชาติ.

You may also like...

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *